ใกล้การมาของงานเปิดตัวทางด้านเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ของโลกอย่าง Computex 2024 ที่ประเทศไต้หวันเข้ามาทุกทีแล้ว แน่นอนว่างานนี้หลายคนต่างก็คาดหวังว่าจะได้เห็นของใหม่เปิดตัวกันอย่างมากมายโดยเฉพาะคนที่อยากเห็นการ์ดจอหรือ CPU รุ่นใหม่จากค่ายต่าง ๆ นั่นเอง แต่ว่าสำหรับคนที่ไม่ได้รีบร้อน และใจเย็นมากพอ ก็อาจจะเล็ง CPU กับการ์ดจอที่เคยแรงในรุ่นก่อน ๆ ที่ราคามีการปรับลดลง ซึ่งบางทีอาจจะปรับราคาลงมามากถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ซึ่งจัดว่าคุ้มค่ามาก ๆ
แต่ว่าสำหรับสาวก AMD ที่กำลังจะประกอบคอมใหม่ แล้วอยากได้เครื่อง PC ที่เล่นเกมได้แบบสุดจัดในย่านนี้ ไม่เน่นตัดต่อหรือทำงานใด ๆ มี CPU อยู่ตัวหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นตัว Bug ของวงการมาตั้งแต่วันที่วางขาย และยังคงคุ้มค่าราคาค่าตัวที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือ AMD Ryzen 7 7800X3D ของ AM5 นั่นเอง
ทำไม CPU ตัวนี้ถึงคือตัวจบสุดคุ้มสำหรับเหล่าเกมเมอร์ นักรีวิวและร้านคอมทั้งหลายยกย่องให้เป็นที่หนึ่งในใจเกมเมอร์มาตั้งแต่ปี 2023 มาจนถึงปี 2024 วันนี้ 4 GamersTH จะมาไขคำตอบนี้ให้คุณฟัง
รู้จักกับ AM5 และสายตระกูลความแรงแห่งค่าย AMD
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ CPU ในตระกูล Ryzen Series 7000 กันสักหน่อย โดยซีรีส์นี้มีการเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนปี 2022 และวางจำหน่ายในเดือนกันยายนปีเดียวกัน โดยมีรุ่นชูโรงเป็น Ryzen 9 7950X, Ryzen 9 7900X ก่อนจะไล่เป็น Ryzen 7 7700X และ Ryzen 5 7600X ตามลำดับ ซึ่งเราจะไม่ลงลึกถึงสเปคแบบละเอียด แต่ตอนนั้น AMD ก็เคลมว่า CPU รุ่นใหม่นี้แรงกว่ารุ่นก่อน ๆ ถึง 49% และประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย
แต่ว่าในช่วงแรกที่วางจำหน่ายนั้น Intel ก็มีการออก CPU รุ่นใหม่ใน Gen 12 - 13 ออกมาติด ๆ ซึ่งความแรงนั้นก็ถือว่าจัดจ้านไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่ AMD ได้เปรียบมาตลอดก็คือประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีกว่ากันมาก กล่าวคือในรุ่น CPU ที่มีความแรงใกล้กัน AMD จะมีราคาถูกกว่าเสมอนั่นเอง แต่ในเวลานั้น AM5 ที่ขยับขึ้นไปใช้ Ram DDR5 ก็ยังถือว่ามีราคาโดยรวมของทั้งระบบแพงกว่ามากอยู่ดี
การมาของ CPU รหัส X3D
อันที่จริงแล้ว CPU ที่มีรหัส X3D ต่อท้ายนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ Ryzen 7 5000 Series บน AM4 มาก่อนแล้ว ซึ่ง CPU Ryzen 7 5800X3D นั้นเปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2022 โดยมีสเปคที่เหมือนกับตัว Ryzen 7 5800X แทบจะทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ L3 ที่ใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ที่เรียกว่า 3D V-Cache ที่เป็นการเพิ่ม Cache สำหรับการประมวลผลเข้ามาจาก Cache แบบ 2D เดิมที่ 32MB เข้าไปอีกถึง 64MB ทำให้รวมแล้ว CPU ในซีรีส์ X3D นี้จะมี Cache ให้ใช้งานแบบจุก ๆ ถึง 96MB เลยทีเดียว
ซึ่งเจ้า CPU Ryzen 7 5800X3D ตัวนี้ก็ทำผลงานไปได้ประทับใจทั้งนักรีวิวและผู้ใช้แบบจริงจัง แม้จะไม่สนับสนุนการ Overclock และไม่มีการ์ดจอในตัวเหมือนพวก APU แต่จากผลการทดสอบของเว็บไซต์เจ้าดังหลายเจ้าก็พบว่ามันสามารถเอาชนะ Intel Core i9 12900K ไปได้แบบเฉียดฉิว แถมยังมีราคาค่าตัวที่ถูกกว่ากันหลายพันบาท แล้วในบางการทดสอบก็สามารถทำ FPS ได้มากกว่าอีกด้วย
เรียกได้ว่า 3D V-Cache นั้นส่งผลมากจริง ๆ ต่อการเล่นเกม หรือต่อให้แพ้ ก็แพ้แค่หลักหน่วยเท่านั้น และด้วยราคาขายที่ถูกมาก นั่นยิ่งทำให้เหล่าเกมเมอร์ต่างจ้องจะจับจองเจ้า CPU ตัวนี้ของ AMD กันตาเป็นมันทีเดียว
กำเนิดตัวเทพแห่งยุคปัจจุบัน
Ryzen 7 7800X3D วางขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 เมษายน 2023 ราคาเปิดตัวในบ้านเราตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 18,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เทียบเท่ากับ CPU Intel ในระดับ Core i7 แต่ครั้งนี้ AMD อัดสเปคเข้าไปอีกเบิ้ม ๆ และเคลมว่าแรงกว่า Core i9 ในการเล่นเกมเลยทีเดียว
ซึ่งจากผลทดสอบที่ออกมานั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ด้วย 3D V-Cache ที่มีมากถึง 96MB และคราวนี้ตัว CPU มีการ์ดจอ On Board มาให้ในตัวอีก เป็นการปิดจุดอ่อนที่เคยมีในรุ่นเก่าที่ตัว CPU ไม่มีการ์ดจอไปอีก แล้วที่สำคัญคือผลการทดสอบหลายอย่างบ่งชี้ว่า Ryzen 7 7800X3D นั้นเล่นเกมได้แรงกว่ารุ่นใหญ่สุดอย่าง Ryzen 9 7950X3D ซะอีก
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? นั่นก็เพราะว่า CPU Ryzen 9 7950X3D นั้นมี Base Clock กับ Boost Clock ต่ำกว่าตัวรองท็อปอย่าง 7950X อยู่ประมาณหนึ่ง(7950X มี Base Clock อยู่ที่ 4.5 GHz ส่วน 7950X3D อยู่ที่ 4.2GHz ต่างกันถึง 300MHz) แล้วด้วยจำนวน Core Thread ที่เท่ากันอีก จึงไม่น่าแปลกใจที่ความแรงจะต่างกันแม้จะเพียงเล็กน้อย และถึงจะมี 3D V-Cache มาช่วย ก็ไม่ได้ส่งผลบวกมากกว่าจนเห็นได้ชัดแต่อย่างใด
ผลทดสอบบนเกม Hogward Legacy เป็นรองแค่ 7950X3D ตัวบนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยิ่งไปเทียบกับ 7800X3D ที่มี Boost Clock สูงสุด 5.0 GHz ปั่นเฟรมได้สุดโหดกว่ามาก และโปรแกรม AMD Ryzen Master ก็ยังช่วยให้การทำงานของ CPU ใน Game Mode เสถียรมากขึ้น แรงขึ้นด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลการทดสอบของรีวิวหลายเจ้า Ryzen 7 7800X3D จะโชว์ความเก๋าแรงแซงพี่เบิ้มประจำรุ่นไปได้ และยิ่งบวกรวมกับราคาที่ค่อนข้างสูงกว่ามาก ทำให้ทุกสายตาเลือกที่จะจับจ้องไปยังตัวที่เล็กกว่าอย่าง Ryzen 7 7800X3D ทันที
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ Ryzen 7 7800X3D คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเล่นเกมล่ะ? เราคงบอกสาเหตุได้หลัก ๆ ก็ตามนี้เลย
ราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก ความคุ้มค่าด้านประสิทธิภาพต่อราคากินขาด
ณ เวลานี้ ราคาของ CPu Ryzen 7 7800X3D นั้นมีการปรับลดลงมาพอสมควร โดยราคาหลักตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 12,000 13,000 บาท นับว่าถูกลงกว่าเดิมมาก และนั่นก็รวมไปถึงราคาของเมนบอร์ด AM5 ที่ก็มีการปรับลดลงมาอยู่เช่นกัน(แม้ราคาโดยรวมจะค่อนข้างสูงกว่า Intel อยู่บ้างก็ตาม) และ RAM DDR5 ก็ถูกลงตามกลไลของตลาดเช่นกัน เรียกว่าตอนนี้ใครอยากจัดแบบไม่ต้องหนักกระเป๋ามากก็ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
ซึ่งนั่นทำให้ความคุ้มค่าต่อราคานั้นพุ่งขึ้นสูงมาก เอาง่าย ๆ ว่า คุณมี CPU ที่เล่นเกมได้แรงพอ ๆ กับ Intel Core i9 Gen 13 - 14 รหัส K แต่จ่ายน้อยกว่ากันเป็นหมื่น อะไรมันจะคุ้มกว่ากันล่ะใช่ไหม
3D V-Cache ที่ส่งผลต่อการเล่นเกมแบบชัดเจน
แม้คะแนนในการ Benchmark ผ่านโปรแกรมอย่าง Cinebench และ CPU-Z ที่อาจจะไม่ได้สูงมากนัก(เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15,000 - 16,000 โดยประมาณ) ด้วย Core Thread ที่ไม่ได้มีเยอะแบบรุ่นพี่หรือคู่แข่ง แต่ถ้าหากเปิดเกมเล่นนี่จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าต่างจริง บางเกมนี่คืออาจจะต่างในระดับ 20 - 30 FPS เลยก็ได้ และยิ่งมีการ์ดจอแรง ๆ ระดับ 4080 Super ขึ้นไป ก็น่าจะเรียกได้ว่าจบระดับ 2K ในยุคนี้ไปได้เลย และยังต่อยอดไป 4K ไปแบบสบาย ๆ อีกด้วย
รับมือกับการ์ดจอได้ทุกตัวในตลาดไม่มีคอขวด
Bottleneck หรือคอขวดถือเป็นคำแสลงของเหล่าเกมเมอร์ ต่อให้การ์ดจอแรงแค่ไหน แต่ CPU รันไม่ไหวก็ไม่มีประโยชน์ แต่แม้ Ryzen 7 7800X3D จะเป็น CPU ในระดับรองท็อป แต่ก็สามารถรับมือกับการ์ดจอได้ทุกรุ่นทุกตัวในตลาด ไม่ว่าจะ RTX 4090 หรือ Radeon 7900XTX ก็เชื่อมือได้เลยว่า 7800X3D รันได้ไหวแน่นอน
ถึงแม้เราจะร่ายข้อดีของเจ้า Ryzen 7 7800X3D มาเยอะขนาดนี้ แต่ถ้าถามว่ายังมี CPU เล่นเกมตัวที่แรงกว่านี้ในตลาดหรือไม่ คำตอบก็คือมีแน่นอน ในระดับราคาที่สูงขึ้น Intel Core i9 14900K ก็ยังทำคะแนนประมวลผลได้ดีกว่าในหลายผลการทดสอบ แถมยังสามารถเอาไปทำงาน Render และตัดต่อได้ดีกว่าด้วย ซึ่งยังไง 7800X3D ก็แพ้เห็น ๆ เอาแค่คะแนนใน Cinebench ก็ต่างกันคนละโลกแล้ว เพราะ Intel ทำได้ถึงระดับสองหรือสามหมื่นแต้ม แต่ 7800X3D ทำไปได้น้อยกว่าถึงครึ่งต่อครึ่งเลย
อีกทั้งปัญหาดั้งเดิมของ CPU AMD ทุกรุ่นก็คือเรื่องของความร้อนในช่วง idle นั้นค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับ Intel แม้จะใช้ชุดน้ำสามตอน แต่ Idle Temp จะอยู่ที่ประมาณ 50 องศาขึ้นไป ซึ่งถือว่าร้อนพอสมควร และตัว CPU ก็มี Temp Limit อยู่ที่ 89 องศา การจะ Overclock ให้แรงกว่านั้นก็ทำได้ค่อนข้างยากกว่ารุ่นอื่น ๆ อยู่เสียหน่อย ใครที่จะซื้อ CPU ตัวนี้ไป Overclock ก็อาจจะต้องทำใจเรื่องข้อจำกัดนี้กันด้วย
สรุป
เมื่อหักลบข้อดีข้อเสียที่เห็น และประสบการณ์ตรงที่ใช้งานมาประมาณสามเดือน ก็ต้องบอกเลยว่าสำหรับสายเกม Ryzen 7 7800X3D ก็ยังคงเป็น CPU ที่คุ้มค่าและเล่นเกมได้แรงสุด ๆ เกินราคาของมันไปไกลโข แถมยังจับคู่กับการ์ดจอตัวแรงได้สุดทุกรุ่นแบบไม่ต้องกลัวคอขวด แม้จะมีตัวที่ดีกว่า แต่ถ้าถามหาความคุ้มค่าต่อประสิทธิภาพของมันละก็ Ryzen 7 7800X3D น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของคุณในการประกอบเล่นเกมปี 2024 นี้แน่นอนครับ