ช่วงนี้อาจารย์คนเขียนเริ่มกลับมาฟื้นตัว มังงะ มหาเวทผนึกมาร jujutsu kaisen เลยลงอย่างต่อเนื่องได้อีกครั้ง แต่ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาดอาทิตย์หน้าจะงดให้อาจารย์แกได้พักอีกครั้ง และก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของการสปอยล์ jujutsu kaisen ตอนที่ 265 เรามาเท้าความย้อนอดีตของตอนที่ 264 กันเล็กน้อยเพื่อหลายคนลืมไป โดยในตอนที่แล้วหลังจากแผนที่ คุณนางฟ้า จะมากำจัด สุคุนะ แบบทีเผลอ แต่พี่แกก็ฉลาดพอที่จะเอาหินมาบังอาคมที่ส่องลงมา และพยายามจะไปเอาคืนคุณนางฟ้าแต่ทาง ยูจิ กับ โทโด ที่เห็นโอกาสเลยเข้าไปจัดการสุคุนะด้วยแรงที่มีอยู่ ก่อนที่ช่วงท้ายของตอนที่ 264 ยูจิจะใช้ท่ากางอาณาเขตที่ตลอดทั้งเรื่องเราไม่เคยเห็นเขาใช้มาก่อน พร้อมกับภาพภายในจิตใจของยูจิที่คุยกัยสุคุนะ เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงตรงนี้
เริ่มต้นมาตอนที่ 265 หลังจากที่ยูจิพูดว่ากางอาณาเขตทั้งคู่ก็มาอยู่ที่สถานีรถไฟที่ไร้ผู้คน ยูจิพาสุคุนะเดินไปมาแบบชิว ๆ ในเมืองขณะที่สุคุนะกลับรู้สึกว่าตัวเองเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน สุคุนะพูดกับยูจิว่า
"ข้าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน มันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง มันเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างนักคุณไสยที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก่อนที่จิตทั้งคู่จะเชื่อมโยงกัน ข้าคิดว่ามันเป็นผลข้างเคียงจากพลังงานคำสาปที่เกิดมาจากร่างกายของมนุษย์ แต่นี่มันแตกต่างออกไป มันคืออะไร หรือว่ามันคือการอาณาเขตของแก"
ส่วนทางยูจิที่ยืนอยู่ก็บอกว่า "พูดพล่ามจบยัง เอาจริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่นักหรอก ฉันแค่อยากคุยกับนายแปปเดียวเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไปหรอก นอกจากฉันไม่มีใครรู้เรื่องที่นี่หรอกและไม่มีใครอยู่ที่นี่ด้วย"
ทั้งสองคนเดินกันต่อ ยูจิก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้สุคุนะฟังว่า "ฉันอาศัยอยู่ที่นี่จนประมาณ 6 หรือ 7 ขวบนี่ละ จากนั้นก็ย้ายไปเซนได ความจริงฉันเกิดที่เซนไดแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะงานของปู่ ฉันกลับมาที่นี่ในรอบ 10 ปีเพื่อมาร่วมงานศพของเพื่อนปู่ฉัน ไม่ได้จะบอกว่าเมืองนี้เหมือนเมืองผีสิงอะไรหรอกนะ แต่ค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมที่นี่มันถึงได้ดูอ้างว้างได้ขนาดนี้ หรือว่าความจริงฉันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรเท่าไหร่ ถ้าให้พูดตามตรงก็คิดไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะแบบนั้นมันไม่ได้ทำให้ฉันสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย ก็แค่สงสัยว่าเพื่อนของปู่ฉันจะมางานศพของปู่ฉันไหม ถ้าเกิดว่าปู่ฉันตายก่อนเขา"
ทั้งคู่เดินคุยกันจนมาถึงสวนสาธารณะที่เป็นสนามเด็กเล่นที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ยูจิก็พูดต่อว่า "นี่คือสวนสาธารณะที่ฉันมาเล่นคนเดียวบ่อย ๆ เครื่องเล่นที่นี่เกือบจะหายไปหมดแล้ว ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันเกือบจะตายแล้วที่สะดุดเท้าตัวเองขณะเล่นชิงช้า แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายหรอก ครั้งหนึ่งฉันเคยเอาสไลม์มาเล่น (ของเล่นเหนียว ๆ นิ่ม ๆ) แต่มันดันตกลงไปในบ่อทราย เลยพยายามเอามันมาล้างในน้ำพุแต่ทรายมันเกาะแน่นฝังลึกมาก ๆ จนฉันเผลอทำสไลม์หลุดมือไหลไปกับน้ำพุหมด ตอนนั้นฉันก็เลยร้องไห้ เอ๊ะ ! นั่นมันดอกผักบุ้งนี่" (พี่แกพูด ๆ อยู่เปลี่ยนเรื่องเฉย)
สุคุนะที่นั่งฟังก็บ่นออกมาว่า "นั่นมันดอกไฮเดรนเยีย นี่แกปัญญาอ่อนหรือเปล่า"
ยูจิก็ตอบว่า "เออ ใช่ ใช่ ขอโทษทีฉันผิดเอง" ยูจิเลยพูดต่อว่า "ที่เมืองนี้มีดอกไฮเดรนเยียเยอะมันจะบานไปทั่วเมือง ฉันสังเกตเห็นดอกไม้พวกนี้หลังจากที่จะย้ายมาที่เซนได พอเห็นก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกดอกไม้อะไรให้แต่ละเมือง" แล้วยูจิก็ถามสุคุนะว่า "สุคุนะแกรู้จักพวกดอกไม้บ้างไหม"
สุคุนะก็ตอบว่า "ก็มีรู้บ้างจากความทรงจำของเมงุมิ"
ยูจิที่ได้ฟังก็เข้าใจ "งั้นแปลว่าที่นายก็รู้จักสถานที่พวกนี้ ก็มาจากความทรงจำตอนอยู่ในร่างฉันงั้นหรอ"
สุคุนะพูดแบบไม่ใส่ใจว่า "ข้าไม่ได้มีเวลามาท่องความทรงจำอะไรแบบนี้หรอกนะ เสียเวลา"
ยูจิที่ได้ยินแบบนี้ยิ้ม "เข้าใจละ... สวนนี้ค่อนข้างไกลจากบ้านฉัน แต่ที่นี่มีกุ้งเยอะนายจะมาตกกุ้งที่นี่ได้นะลองดูไหม หรือว่าแม้แต่นักคุณไสยที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จะตกกุ้งไม่เป็น" ยูจิส่งไม้ตกกุ้งให้สุคุนะ
"เงียบไปเลยไอ้มดปลวก" สุคุนะเอาเบ็ดตกกุ้งมาจากยูจิ
ในตอนนี้สุคุนะกับยูจิตกกุ้งได้คนละตัวก่อนที่ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันว่าใครตกกุ้งได้ดีกว่ากัน สุคุนะว่ายูจิตกได้กุ้งตัวเล็กกว่าเขา ในขณะที่ยูจิก็ข่มกลับว่ากุ้งที่สุคุนะตกได้นั้นหาง่าย แต่ของเขาเป็นของแรร์หายาก พอทะเลาะกันเสร็จทั้งคู่ก็เดินมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวนั้น
ยูจิบอกว่า "ห้างสรรพสินค้านี้เปิดขึ้นตอนฉันอายุ 5 ขวบ น่าเสียดายที่ร้านค้าเล็ก ๆ ต้องปิดตัวลงไปหมด เพราะห้างนี้ แต่ฉันไม่โกรธหรอกเพราะเขาสร้างโรงหนังไว้ชั้นบน จะว่าไปเมืองนี้มันก็สีเทา ๆ เหมือนเมืองทั่วไป แต่ถ้าออกนอกเมืองสักหน่อยจะพบว่ามีต้นไม้เขียว ๆ ขึ้นเต็มเลย"
สุคุนะที่เดินตามมาก็พูดว่า "ข้าไม่สนใจอะไรพวกนี้หรอก"
ยูจิพาสุคุนะไปที่ฟาร์มแห่งนึงและบอกสุคุนะว่า "ดูสิ มันเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาเลย ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยมาจับตั๊กแตนที่นี่กับเพื่อนเพื่อแข่งว่าจะจับได้มากกว่ากัน แต่พอผ่านไปตั๊กแตนมันก็หายไปหมดเลย คงเพราะพวกยาฆ่าแมลงหรือเปล่า" ยูจิมองมาทางม้า "เจ้าม้าตัวนี้มันยอดเยี่ยมมากเลยนะ ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่าหัวของพวกมันใหญ่ขึ้นอีกแล้ว ปู่ฉันพามาที่ฟาร์มนี้เป็นครั้งคราว พอคิดถึงตอนนั้นปู่เขาทำทุกอย่างให้ฉันยังกับเป็นพ่อแม่จริง ๆ" หลังจากนั้นยูจิก็พาสุคุนะมากินซอฟท์เสิร์ฟและบอกว่า "ที่นี่สุดยอดมาก ฉันเสียเงินไปกับเจ้านี่แบบซื้อมันมากินเยอะมาก กินเยอะซะจนอ้วกแตกเลย"
สุคุนะมองมาทางยูจิ "นายนี่มันโคตรปัญญาอ่อนเลย"
ยูจิชวนสุคุนะมาที่สนามยิงธนู ซึ่งสุคุนะก็ยิงธนูได้แต้มเต็มสิบตลอด
ยูจิที่เห็นก็ตกใจ "แกนี่เก่งใช่เล่นเลย"
สุคุนะพูดอย่างพอใจว่า "ก็ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเเกโขเลย"
พอยิงธนูเสร็จหิมะก็ตกพอดี ยูจิเลยเล่าให้สุคุนะฟังว่า "ที่นี่ตอนหิมะตกจะมีตุ๊กตาหิมะเรียงรายแถวถนน ฉันยังสงสัยเลยว่าตอนนี้จะยังมีคนปั้นมันอยู่ไหมเพราะฉันไม่เห็นมันสักพักแล้ว เพราะที่เซนไดหิมะไม่ตกมานานแล้ว ฉันชอบกินนมอุ่นรสหวานตอนเช้าหลังจากที่ออกไปเล่นหิมะแล้วมือก็ชาไปหมด และพอใกล้คริสมาสต์ก็จะได้ยินเสียงระฆังในตอนกลางคืน สิ่งนั้นทำให้ฉันคิดเสมอว่าซานต้าครอสมีอยู่จริง แต่อันที่จริงมันก็เป็นแค่โซ่หิมะที่อยู่บนยางรถยนต์"
สุคุนะที่เริ่มหงุดหงิด (เหมือนคนอ่าน) ก็บ่นออกมาว่า "พอได้แล้ว"
ยูจิยิ้ม "โอเค ฉันว่าน่าจะแสดงทุกอย่างที่อยากให้นายเห็นครบแล้วล่ะ"
สุคุนะที่เริ่มหงุดหงิดก็เลยพูดต่อว่า "ที่แกพูดพล่ามไปเรื่อยมันน่าขยะแขยงนะรู้ตัวไหม"
ยูจิยิ้มและนึกถึงภาพของทุกคนที่ตุยไปแล้วก่อนจะพูดว่า "แกรู้ไหม จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคิดอยู่ว่า ฉันควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทำตามหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จรึเปล่า พอทำสำเร็จฉันก็ควรตายไปแบบที่มันควรเป็น นั่นคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเลย.... ทั้งการเดินเล่นกับหมา หาเลี้ยงครอบครัว มีบทบาทแบบนั้นก็ไม่เห็นเป็นไรตราบใดที่นายยังกินได้นอนได้ แม้ว่านายจะนอนป่วยใกล้ตายอยู่บนเตียง แม้ว่าจะใช้ชีวิตโดยไม่มีอะไรเชื่อมต่อหรือเหลือทิ้งเอาไว้ เหลือแค่เศษเสี้ยวของความทรงจำที่ล่องลอย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์และมันก็มีคุณค่า" ยูจิทางสุคุนะและพูดอีกว่า "ไม่มีอะไรที่เราทำได้กับบุคคลที่ตายไปแล้ว ฉันไม่ให้อภัยคนที่ทำเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่มีอยู่จริง สุคุนะ ฉันเกลียดแกมาก ๆ เราไม่ใช่เครื่องมือ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำตามบทบาทอะไรที่กำหนดไว้ พื้นฐานแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าคนไหนดีคนไหนชั่ว บางทีฉันอาจจะผิดเองก็ได้ แค่อย่างน้อยอยากให้แกได้เห็นความเป็นมนุษย์ของคนอื่นเขาบ้าง มองคนอื่นที่ไม่ใช่แค่มองแต่ตัวเอง"
สุคุนะยิ้ม "ข้าเข้าใจที่แกจะสื่อ แต่ข้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนที่แกเองก็รู้ เหมือนที่แกเองก็รู้สึกว่าเมืองนี้มันเงียบขนาดไหนเมื่อเวลาผ่านไป แต่แล้วยังไงละมันก็คือสิ่งที่แกคิดไว้อยู่แล้วใช่หรือเปล่า"
ยูจิมองสุคุนะด้วยแววตาจริงจัง "แปลว่าล้มเหลวสินะ ก็อย่างที่คิดไว้จริง ๆ นั่นละ"
สุคุนะยิ้ม "ถ้าให้บอกก็คือ ความขี้ขลาดของแกมันน่าทึ่งสุดยอดเลยว่ะ"
ยูจิมองสุคุนะ "ความเกลียดชังความแค้นที่แกมีต่อฉัน มันมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง"
สุคุนะเริ่มไม่พอใจ "ไอ้เด็กเวร อย่าบอกนะว่าแกสงสารข้ารึ แกพยายามแสดงความเห็นอกเห็นใจข้าอยู่รึ"
ยูจิมองสุคุนะ "ถูกเผงเลยล่ะ" ยูจิจ้องสุคุนะเขม็ง "ฉันฆ่าแกตอนนี้ได้เลยนะ ปล่อย ฟุชิงุโระ เมงุมิ คืนมาแล้วกลับมาอยู่ในร่างฉันแล้วฉันจะไว้ชีวิตแก"
สุคุนะยิ้ม "แกกำลังเข้าใจผิดมหันต์เลยนะ ข้าจะไม่สับร่างแกให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แต่ข้าจะฆ่าทุกชีวิตที่แกอ้างว่ามีค่ามากมายนักหนาต่อหน้าแกทุกคน" สุคุนะตอบด้วยความพึงพอใจ
อ่านต่อฉบับหน้า....
ตอนนี้คุยกันยาว ๆ เลยทีเดียวสำหรับตอนนี้ พอมีบทพูดเยอะเลยพยายามเขียนให้เหมือนนิยายที่มีบทพูดจะได้เข้าใจเห็นภาพง่าย ๆ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจว่าคู่นี้คุยอะไรกัน สรุปสั้น ๆ คือยูจิพยายามกล่อมสุคุนะให้กลับมาร่างตนและปล่อยเมงุมิไปทางยูจิจะไว้ชีวิต แต่สุคุนะบอกว่าไม่แถมมันจะฆ่าทุกคนฆ่าทุกอย่างที่ยูจิรักด้วย ตอนต่อไปคงได้สู้กันยาว ๆ ของจริง ซึ่งถ้าใครอยากไปอ่านบทยาว ๆ ต่อก็รออ่านได้ที่ MANGA Plus ได้เลย (แปลไทยอาจจะรอนานหน่อยแต่คุ้มค่าแน่นอน) ส่วนในสปอยล์นี้ก็มีเพื่อให้คุณได้รับรู้เรื่องราวก่อนไปอ่านตัวเต็ม จะได้ไม่โดนคนอื่นสปอยล์จะได้ไม่เสียอารมร์และพบกันใหม่ตอนหน้า