มาแบบเงียบ ๆ จนหลายคนลืมไปแล้วว่ามีแอนิเมชันเรื่องใหม่ของสาวสวยนักขี่สุสาน (ไม่ใช่และ) ตะลุยสมบัติโบราณอย่าง Tomb Raider ฉายบน Netflix เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในชื่อภาคว่า Tomb Raider The Legend of Lara Croft หรือชื่อไทยเท่ ๆ อย่าง Tomb Raider ตำนานลาร่า ครอฟท์ โดยก่อนหน้านี้เราได้เอาข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจของอนิเมชันเรื่องนี้มาบอกเป็นระยะ จนออกฉายเราก็รีบไปดูและเอามารีวิวให้ทุกคนที่ยังไม่รู้ได้ไปดูกัน เพราะสิ่งที่อยู่ในแอนิเมชันเรื่องนี้มันคือกลิ่นอายจิตวิญญาณที่ผสมระหว่าง Tomb Raider รุ่นเก่า ที่ล่าร่าจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อหาสมบัติ กับกลิ่นอายของ Tomb Raider แบบใหม่ที่คนเล่นเกมรู้จักเป็นอย่างดี เอามารวมกันได้อย่างลงตัว เรามาดูกันว่าซีรีส์ Tomb Raider ภาคนี้จะสนุกกว่าฉบับภาพยนตร์รึไม่ มาอ่านไปพร้อมกันเลย
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาต้องอธิบายถึงตัว ลาร่า ครอฟท์ คนนี้ก่อนว่า ตัวของเธอนั้นไม่ใช่ลาร่าที่เรารู้จักในเกมยุคเก่ากับฉบับที่ภาพยนตร์ที่ แองเจลิน่า โจลี เคยแสดงสมัยก่อน แต่เธอจะเป็นลาร่าตอนวัยรุ่นที่ยังเป็นเด็กอ่อนประสบการณ์ ที่ยังต้องมีผู้ช่วยและคนสนับสนุนไม่สามารถลุยเดี่ยวได้แบบปัจจุบัน หรือจะพูดง่าย ๆ ลาร่าคนนี้คือคนเดียวกับลาร่าในฉบับภาพยนตร์ภาคล่าสุด โดยเรื่องราวใน Tomb Raider The Legend of Lara Croft จะเป็นเรื่องราวหลายเดือนหลังจากเกม Tomb Raider ในปี 2013 ที่ลาร่าซึ่งยังเป็นนักล่าสมบัติรุ่นใหม่ได้เดินทางมายังสามเหลี่ยมมังกรในเอเชีย จนไปติดเกาะร้างไม่สามารถออกมาได้ ซึ่งที่นั่นลาร่าได้เสียเพื่อนพ่อที่เป็นเหมือนอาจารย์ไปในการเดินทางครั้งนี้ จนมันกลายเป็นแผลใจให้ลาร่ามาจนถึงตอนนี้
โดยเรื่องราวของแอนิเมชันจะเล่าต่อจากเกมภาคนั้น ซึ่งถ้าใครไม่เคยเล่นเกมมาก่อนก็สามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ดี เพราะตัวแอนิเมชันจะเล่าย้อนให้เราได้เห็นช่วงเวลาเก่า ๆ ที่เป็นแผลใจของลาร่าว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนคนเล่นเกมจะเข้าใจหัวอกของลาร่ามากกว่า เพราะคนเล่นเกมจะได้ไปอยู่ในเหตุกาณ์นั้นด้วย โอเคมาเข้าสู่เรื่องราวของแอนิเมชันของเรากัน ตัวเรื่องจะเล่าถึงสมบัติบางอย่างที่ลาร่ากับอาจารย์ของเธอไปเอามาในอดีต และมันก็ถูกทิ้งฝุ่นจับอยู่แบบนั้นมานานหลายปี ที่จู่ ๆ มันก็ถูกคนร้ายขโมยไป ลาล่าจึงตามสืบเรื่องราวของสมบัติชิ้นนั้นว่ามันคืออะไร และตามตัวคนร้ายเพื่อเอาสมบัติคืนมา จนเธอต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อแก้ไขปริศนาเหล่านี้
ซึ่งอย่างที่เราได้บอกไปว่าตัวแอนิเมชันนั้นมีกลิ่นอายของเกม Tomb Raider รุ่นเก่า ที่ลาร่าต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อตามหาเบาะแสที่จากจุด A ก็จะชี้ไปยังจุด B และ C ต่อด้วย D จนถึงปลายทางที่ทุกอย่างมารวมกัน ต่างกับ Tomb Raider ฉบับใหม่จะเป็นสถานที่เดียวหรือเน้นที่สุสานเป็นหลักไม่ค่อยไปล่าสมบัติในเมือง ตัวแอนิเมชันเรื่องนี้เลยใส่ฉากที่แฟนเกมยุคเก่าคิดถึงแบบจัดเต็ม ซึ่งตอนที่คุณดูก็อาจจะแอบขัดใจว่าทำไมลาร่าดูไม่เก่งเลย ดูเก้ ๆ กัง ๆ การะโดดเอยปีนเอยต่อสู้เอยมันดูไม่คมไม่เก่งแบบที่คนดูหวัง ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจคนดูว่าต้องการลาร่าเก่ง ๆ แต่อย่างลืมว่าในตอนนี้ลาร่าเรายังเป็นนักล่าสมบัติมือใหม่ เลยยังไม่เก่งเท่าตอนที่เราเห็นซึ่งนั่นกลับเป็นความสนุก เพราะถ้าลาร่าทำดีไปหมดก็ไม่มีอะไรลุ้นกันพอดี
ในส่วนของเนื้อหาจะไปค่อนข้างเร็วไม่ต้องปูเยอะเล่าอะไรมาก มาถึงก็ฉั๊บ ๆ สู้ ๆ วิ่ง ๆ กระโดดแก้ปริศนาจบไปต่ออีกที่ จะมีช่วงพักให้มีการเล่าเรื่องเพื่อให้ลาร่าไปยังสถานที่ต่อไป ซึ่งมันคือกลิ่นอายของนักล่าสมบัติที่แท้จริง เพราะอย่างลืมว่าสมบัติบางอย่าง ไม่ซิหลาย ๆ อย่างมันถูกค้นพบไปแล้ว และคนที่ครอบครองถ้าไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ก็ต้องเป็นเหล่าคนรวยไม่ก็โจรที่สะสมสมบัติเอาไปขาย การไปบุกถิ่นโจรก็เลยเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ซึ่งมันสนุกกว่าแค่ไปบุกสุสานแบบเกมฉบับใหม่ ซึ่งอันนี้ทางทีมสร้างใส่ใจได้อย่างดี แถมเรื่องก็ดูลื่นไหล ตัวร้ายไม่ใช่แค่คนบ้าที่ต้องการพลังจากวัตถุโบราณเพื่อครองโลก แต่เขามีเป้าหมายที่เป็นชิ้นเป็นอันที่พอจะเข้าใจได้ แต่เราก็ให้มันทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่างที่เราต้องเข้าใจก่อนว่า เรื่องราวของ Tomb Raider มันอ้างอิงความสมจริง แต่ก็ยังมีเรื่องลี้ลับอยู่ด้วย อย่างในเกมที่เป็นต้นทางของแอนิเมชันเรื่องนี้ ก็มี ฮิมิโกะ ร่างทรงที่เป็นอมตะซึ่งถูกผนึกและเสกเกาะให้มีแต่พายุคนเข้ามาจะออกไปไม่ได้ ส่วนฮิมิโกะก็ต้องการร่างสิงใหม่ จึงจับเพื่อนที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นไป ที่นั่นลาร่าได้เจอซามูไรโบราณชาวประมงที่ติดเกาะจนกลายเป็นคนเสียสติมาทำร้าย ดังนั้นการจะเจอวิญญาณจิ้งจอกเห็นสัตว์ประหลาดในแอนิเมชันก็เป็นเรื่องปกติไม่ต้องแปลกใจอะไร
มาดูที่ข้อเสียกันบ้างที่รู้สึกขัดใจแบบเห็นได้ชัดคือ ความไม่สมูทของงานภาพที่ดูแข็ง ๆ ไม่ต่อเนื่องเมื่อเทียบกับแอนิเมชันอย่าง Terminator Zero กับ Cyberpunk Edgerunners ก่อนหน้านี้ที่ดูไหลลื่นทั้งการเคลื่อนไหวบทพูดท่าทางของตัวละคร ยิ่งตอนเคลื่อนไหวแอ็กชันยิ่งดูขัด ๆ แข็ง ๆ ซึ่งเรื่อง Terminator Zero กับ Cyberpunk Edgerunners ได้ทีมงานอนิเมะของญี่ปุ่นมาทำงานเลยออกมาลื่นไหลกว่า แต่นั่นก็ไม่ใช่ขัดใจอะไรมากตอนดู กับอีกเรื่องที่ขอติคือความอ่อนแอทางจิตใจของลาร่าที่มีเยอะเกินไป แบบเดี๋ยวก็คิดถึงอดีตแล้วก็เศร้า อีกฉากก็มาเศร้าต่อแบบรู้ว่าเธอเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และโดนโทษว่าเป็นความผิดเธออันนี้เข้าใจลาร่า แต่ก็ไม่ต้องใส่มาเยอะมากก็ได้ แบบรู้แล้วว่าเศร้าไม่ต้องย้ำเยอะ สงสัยคนสร้างกลัวคนดูลืมว่าลาร่าเศร้าเรื่องอะไร
สรุปตัวแอนิเมชันทำออกมาได้ดี มีกลิ่นอายความเป็นTomb Raider แบบจัดเต็มเพราะทีมสร้างเกมมาเขียนบทกำกับและทำแอนิเมชันเอง ถ้าคุณเป็นแฟนเกม Tomb Raider ไม่ว่าจะเป็นภาคลาล่าอกเหลี่ยม ลาร่าอกเบิ้ม ๆ คือลือในฉบับภาพยนตร์ ไปจนถึงลาร่าฉบับเกม 3 ภาคล่าสุด หรือไม่รู้จักเกมไม่เคยดู Tomb Raider เลยก็สามารถดูได้สนุกรู้เรื่องครบจบได้ แค่คนที่เล่นเกม 3 ภาคก่อนจะรู้มากกว่าคนที่ไม่เคยเล่นเกมเท่านั้น ตัวเรื่องสนุกดูได้เรื่อย ๆ เสียงพากย์ไทยดีงามเหมือนเดิม ส่วนคะแนนให้ 7.2 เต็ม 10 ดี แต่ก็ไม่ถึงกับว๊าวต้องดูห้ามพลาดอะไรแบบนั้น ใครอยากหาแอนิเมชันดูแก้เบื่อเรื่องนี้จะทำให้คุณอยู่ติดจอยาว ๆ แน่นอน