เอาจริง ๆ ตอนแรกที่ได้เห็นตัวอย่างบน Netflix เรื่อง Don't Move ขยับเธอเป็นไม่ขยับเธอตาย ก็น่าสนใจจนกดแจ้งเตือนเอาไว้เมื่อตัวภาพยนตร์ออกฉาย จนเมื่อตัวภาพยนตร์ฉายก็ได้รู้ว่ามีลุง แซม ไรมี่ ผู้กำกับหนังสยองขวัญในตำนานเป็นผู้อำนวยการสร้าง ก็ยิ่งเป็นการยืนยันความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้นไปอีก พอได้ดูจนจบก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทั้งแอบลุ้นแอบเอาใจช่วย สิ่งที่เราคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่ ๆ ตามสูตรหนังแนวหนีตาย แต่กลายเป็นว่ามันก้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่มันไม่เป็นแบบที่เราคิดเลย เรามาดูกันดีกว่าว่าภาพยนตร์ Don't Move จะดีงามสนุกหรือจืดขนาดไหนบ้างมาดูไปพร้อมกันเลย
เรื่องราวย่อ ๆ ของ Don't Move จะกล่าวถึงหญิงสาวที่สูญเสียลูกชายจากอุบัติเหตุตกหน้าผา เธอที่เสียใจจึงคิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามลูกชายสุดที่รักไป แต่ก็มีชายใจดีคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมานั่งชมวิวแถวนั้นมาชวนคุย จนเธอเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตาย ก่อนที่เธอจะรู้ว่าวันธรรมดาที่เธอคิดจะตาย มันคือวันที่เธออยากจะมีชีวิตอยู่ เพราะเธอถูกคนร้ายฉีดยาให้กล้ามเนื้อค่อย ๆ เป็นอัมพาตขยับตัวไม่ได้ทีละส่วนแม้แต่การพูด เธอจึงใช้เวลาที่เหลือ 20 นาทีก่อนจะขยับร่างกายไม่ได้ เอาชีวิตจากคนโรคจิตคนนี้ในป่าเพียงคนเดียว นั่นคือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ Don't Move ขยับเธอเป็นไม่ขยับเธอตาย
ตัวเรื่องใช้เวลาไปนานในการบอกเล่าถึงความโศกเศร้าเสียใจของตัวเอก ว่าเธอผ่านอะไรมาจากการกระทำและคำพูดในช่วงต้นของเรื่อง ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาการไล่ล่าเอาชีวิตรอด โดยที่ไม่ต้องปูอะไรให้มันเยอะ มาถึงก็เอาเลยที่ตัวเรื่อยจะค่อย ๆ ทวีความตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ จากการขยับร่างกายของตัวเองที่ค่อย ๆ เป็นอัมพาตทีละส่วน ตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงขาและสุดท้ายก็ทำได้แค่คลานบนพื้นและขยับตัวไม่ได้ในที่สุด โดยก่อนจะเล่าเรื่อง ตัวภาพยนตร์จะให้เราเห็นฉากป่าขนาดใหญ่ ที่บอกให้คนดูอย่างเรารู้ว่ามันจะไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ เธอต้องเอาชีวิตรอดก่อนที่จะขยับไม่ได้อย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่นาที นั่นคือความระทึกที่ภาพยนตร์ต้องการบอกเรา
และนอกจากการหนีตายของตัวเอกแล้วก็ยังมีผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่น หรือจะเรียกว่าซวยไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็ได้ ที่จะมาช่วยให้ตัวเรื่องดูลุ้นสนุกมากขึ้น ซึ่งเราคนดูต่างก็ทราบดีว่าตัวช่วยในเรื่องแบบนี้ไม่มีอยู่จริง จะมีแค่คนดวงซวยที่กลายเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งทางผู้กำกับคนเขียนบทก็ทราบเรื่องนี้ เลยเปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนออกไปให้มันดูตื่นเต้นแตกต่าง แม้ผลผลลัพธ์จะเหมือนเดิมก็ตาม แต่ก็ดีกว่าตัวประกอบโง่ ๆ ที่มาให้คนร้ายฆ่าแบบที่ไม่ทำอะไรเลย ซึ่งในส่วนนี้ต้องไปดูเอาเองว่ามันคืออะไร
อีกเรื่องที่ต้องชมคือการดักทางคนดูที่ชอบเดาเนื้อเรื่อง ว่าถ้าเนื้อเรื่องปูมาแบบนี้ต่อไปมันต้องมาทางนี้ เดี๋ยวตัวเอกจะหยิบอันนี้มาทำแบบนี้แน่ ๆ หรือต่อไปตอนจบจะต้องลงเอยแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งพอถึงฉากนั้นจริง ๆ มันก็เป็นแบบที่เราคิด ตัวเอกทำแบบนั้นจริง ๆ ตามที่เราคิด แต่มันไม่ได้ผลแบบที่เราคิดเลยแถมยังส่งผลไปอีกแบบด้วยซ้ำ รวมถึงตอนจบที่เราคิดว่านั่นแน่เดี๋ยวเจ๊แกต้องพูดว่า .... ออกมาแน่ ๆ แต่พอถึงตอนนั้นจริง ๆ เจ๊แกเหมือนจะบอกคนดูว่า ตรูไม่พูดเว้ย (ตะโกนออกมาเลย) ก่อนที่ตอนท้ายหนังจะกวนทีนเราอีกครั้งด้วยการให้ตัวละครนี้พูดประโยคนั้นออกมา ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าโอเคสนุกลุ้นดี แบบคิดว่ารอดแล้วแต่ในความซวยก็มีความซวยในความซวยของความซวยซ้อนมาอีก ที่กว่าจะจบเรื่องก็เล่นเอาลุ้นเหมือนกัน
ส่วนข้อเสียหลัก ๆ ก็คือความขัดใจในบางตัวละคร คือทำไมไม่แจ้งตำรวจครับลุง จะมัวยืนถืออิโทรศัพท์อยู่เพื่อ ส่วนคนร้ายก็ใจเย๊นใจเย็นก็รู้ว่าเหยื่อจะขยับไม่ได้เลยชิว ๆ แต่ก็ชิวแบบสมควรโดนแล้ว หนังตามสูตรเล็กน้อย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ส่วนให้มันดูต่าง แต่ภาพยนตร์แนวหนีตายมันก็เล่นประเด็นให้แหวกแนวกว่านี้คงจะยาก เท่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ก็ยังไม่สุดมันน่าจะดีกว่านี้อีกเหมือนผู้กำกับคนเขียนบทจะกั๊ก ๆ ยังไงไม่รู้ แต่โดยรวมก็โอเคดูสนุกลุ้น ๆ ดี
ในส่วนของคะแนนภาพยนตร์ Don't Move ขยับเธอเป็นไม่ขยับเธอตาย (ชื่อภาษาไทยตั้งเองเพราะเห็นว่าไม่มีชื่อไทย) ขอให้คะแนน 6.8 เต็ม 10 มันดีกว่านี้ได้อีกสนุกกว่านี้ได้อีกลุ้นกว่านี้สนุกสะใจกว่านี้ได้อีก ถ้าจัดเต็มกว่านี้ก็คงจะลุ้นกว่านี้แน่ ๆ หรือว่าทีมงานเก็บไว้ปล่อยของภาค 2 ให้เป็นสถานที่อื่นหนีตายแบบอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นการกั๊ก ๆ ของเรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล แต่ถ้าไม่กั๊กแล้วมาได้เท่านี้มันก็คงจะจืด ๆ ไปหน่อย น่าจะมีอะไรมากกว่านี้จะดีมาก ๆ แต่โดยรวมไม่ขี้เหร่ดูเพลิน ๆ ได้ ตัวเรื่องมีพากย์ไทยที่ก็ดีงามตามมาตรฐานเหมือนเดิม ใครที่สนใจก็ไปดูได้เลยตอนนี้บน Netflix