เป็นที่พูดถึงกันไม่น้อยเลยทีเดียวกับซีรีส์ไทยที่เพิ่งสตรีมมิ่งบน Netflix ไปหมาด ๆ อย่าง "อย่ากลับบ้าน" (Don't Come Home) ซีรีส์แนวดราม่าลึกลับสยองขวัญ ของหญิงสาวที่พาลูกกลับบ้านหลังเก่าสมัยเด็ก แต่ลูกสาวของเธอกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และทำให้เธอต้องพบเจอต้องเจอเรื่องราวปริศนาอันดำมืดที่รอการเปิดเผย ซึ่งตอนจบของเรื่องราจะทำให้เราต้องทึ่งไปกับการดำเนินเนื้อเรื่อง และ คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
**บทความนี้จะเล่าเรื่องราวเรียงตามไทม์ไลน์ปี พ.ศ. ที่เกิดขึ้นเพื่อความใจง่าย**
**จากนี้ไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง**
"อย่ากลับบ้าน" (Don't Come Home) เรื่องราวของ "พนิดา" (ซินดี้ บิชอพ) ได้สูญเสียสามีและลูกสาว "วารี" ไปในอุบัติเหตุในปี 2534 ซึ่งเธอไม่สามารถทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย วันหนึ่งเธอได้พบว่าปฏิกรณ์ไฟฟ้าในโรงงานที่เธอดูแลสามารถเปิดประตูมิติทับซ้อนได้ เธอจึงเริ่มทำการวิจัยอย่างลับ ๆ เพื่อที่จะนำลูกของเธอกลับมา แต่สิ่งที่พนิดาดึงมาจากประตูมิติไม่ใช่ลูกสาวของเธอ แต่เป็นเด็กสาวแปลกหน้าชื่อ "มิน"
พนิดาเลี้ยงดูมินเสมือนลูกของเธอเอง แต่มินก็ยังคงร้องหาแม่ที่แท้จริงของเธอ ซึ่งทำให้พนิดาที่ยังคงเศร้าเสียใจต่อวารี ตัดสินใจเปิดใช้งานเครื่องปฏิกรณ์อีกครั้งในปี 2535 ด้วยความหวังที่จะต้องสำเร็จ แต่กลับได้หญิงสาวคนหนึ่งมาแทน แถมเธอคนนั้นยังเรียกเธอว่า "แม่" ซึ่งเธอได้อ้างว่า เธอคือ "ลูกสาวของพนิดาในอนาคตที่ย้อนเวลามา" นั่นเอง
พนิดาไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นและไม่เชื่อว่านี่คือ ลูกสาวของเธอที่โตแล้วในอนาคต พนิดาจึงกักขังเธอเอาไว้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการสะเทือนขวัญที่ทำให้หญิงสาวปริศนาคนนั้นต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของพนิดาเอง พนิดาจึงตัดสินใจพามินออกจากบ้านหลังนั้น ย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพและเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มินเป็น "วารี"
มินที่เติบโตขึ้นเป็นวารีได้ลืมเรื่องราวเดิมจนหมดสิ้นและเชื่อว่าพนิดาคือแม่แท้ ๆ ของเธอเองโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ แต่เมื่อวารี (aka มิน) ยิ่งเติบโตขึ้นก็ยิ่งมีหน้าตาเหมือนหญิงสาวที่เธอฆ่าตายเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พนิดาตระหนักรู้ได้ และพยายามเตือนวารีว่า "อย่ากลับบ้าน" แต่วารีนั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่พนิดาพยายามบอก
ต่อมาวารีได้พบรักกับนายทหารหนุ่มยศสูง แต่ทั้งสองกลับมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนัก สามีมักทำร้ายร่างกายวารีอยู่ตลอดเวลาแม้จะตั้งท้อง จนกระทั่งวารีได้ให้กำเนิดลูกสาวซึ่งตั้งชื่อว่า "มิน" หลังจากนั้นหลายปี วารีได้ตัดสินใจพามิน หนีสามีไปยังบ้านหลังเก่าที่เธอเคยอยู่เมื่อตอนเด็ก และต้องพบกับเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้มินลูกสาวของเธอหายตัวไป ก่อนที่เธอจะพบว่าเธอได้ย้อนเวลากลับไปพบพนิดาแม่ของเธอ และนั่นเองที่เกิดเหตุการณ์เศร้าที่วนลูปไม่รู้จบในเรื่อง "อย่ากลับบ้าน"
เรียกได้ว่าอย่ากลับบ้านเป็นซีรีส์ไทยที่นำเสนอความแปลกใหม่เกี่ยวกับทฤษฏีลูปเวลาที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในไทย ผสมความสยองขวัญและแฝงสัญลักษณ์นัยยะเอาไว้มากมายในเรื่องราวให้เราได้เอะใจฉุกคิดไปกับเนื้อเรื่องที่ค่อย ๆ ดำเนินไปพร้อม ๆ กับการเปิดเผยความลึกลับที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้อย่างดี
ในช่วง 2 ตอนแรกตัวซีรีส์พยายามนำเสนอในมุมมองของความสยองขวัญ ซึ่งปรากฏร่างผีตาแดงตัวสูงสุดสยองให้คนดูได้ขนหัวลุก ก่อนจะค่อย ๆ ขยับไปตอนที่ 3 ซึ่งเริ่มมีเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์เข้ามาและตัดจบตอนด้วยความ Sci-Fi อันน่าทึ่งที่ทำให้เราต้องทำหน้าเหวอ และขบคิดตามเนื้อเรื่องไปตลอดจากนั้นว่าจริง ๆ แล้วเรื่องราวนี้มันเป็นมายังไงกันแน่ และมันจะไปจบที่ตรงไหน จนกระทั่งเราได้เห็นฉากสุดท้ายที่พาคนดูวนกลับไปที่จุดเริ่มต้นฉากแรกของซีรีส์ นั่นเองที่ลูปเวลามาบรรจบอย่างสมบูรณ์แบบ
ใครที่เคยดู "Dark" ซีรีส์สัญชาติเยอรมันมาก่อน จะต้องชอบอย่ากลับบ้านและสามารถเดาทางเนื้อเรื่องได้อย่างแน่นอน เพราะได้แรงบันดาลใจและกลิ่นอายมาเยอะมาก ๆ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่และสร้างสรรสำหรับวงการหนังสัญชาติไทยไม่น้อย และซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีมากทีเดียว
อย่ากลับบ้าน มีทั้งหมด 6 ตอน ตอนละประมาณ 41 นาที ซึ่งจำนวนตอนจัดว่ากำลังดีเลยทีเดียว ส่วนการดำเนินเรื่องอาจจะมีสิ่งที่ขัดใจกับตัวละครไปบ้างถึงพฤติกรรมบางอย่าง หรือ มีความรู้สึกว่าบางจุดนั้นดำเนินเรื่องแบบเนิบนาบเชื่องช้า แต่เชื่อว่าเป็นเพราะตัวหนังอยากให้เราได้สัมผัสถึงและเข้าถึงความรู้สึก จิตใจของตัวละครในสถานการณ์นั้น ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
ถึงแม้หลังจากเข้าสู่เนื้อเรื่องช่วงหลังที่เริ่มมีการเฉลยที่มาที่ไปแล้ว เราจะสามารถเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สุดท้ายซีรีส์ก็ยังทำให้เราทึ่งได้อยู่ดี อีกทั้งเพลงประกอบในตอนท้ายและการแสดงของบรรดานักแสดงนำ ก็ทำให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกของตัวละครเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
หากใครที่กำลังหาซีรีส์คุณภาพสักเรื่องที่มีจำนวนตอนไม่ยาวมาก สามารถดูจบได้ในระยะเวลาไม่นาน เอาไว้ดูตอนกำลังกินข้าว ดูหลังเลิกงาน ดูก่อนนอน หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือชอบดูเรื่องราวที่นำพาเราพบเจอกับเรื่องราวลึกลับที่ทำให้ต้องใช้สมองขบคิดตาม ก็อยากจะขอแนะนำ ซีรีส์ อย่ากลับบ้าน ให้เป็นตัวเลือกพิจารณากัน เชื่อว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน