
หลังจากที่หยุดไป 1 อาทิตย์เต็ม ๆ เพื่อให้อาจารย์ โอดะ ได้พักผ่อน One Piece ตอนที่ 1134 ก็มาตามกำหนดเดิมเรียบร้อย พร้อมเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจเหมือนเดิม โดยก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาก็ขอเท้าความไปในตอนที่ 1133 กันเล็กน้อย ที่ในตอนนั้นเราจะได้เห็นอดีตของ โรบิน ในตอนเด็ก ผ่านมุมมองของคนรอบตัวเธอว่าสาวน้อยคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ และหนึ่งในนั้นคือการได้พบเจอกับคนยักษ์นามว่า เซาโร ที่โรบินเคยสัญญาว่าเธอจะมีชีวิตต่อไป จนถึงวันนี้ทั้งสองคนก็ได้พบเจอกันอีกครั้งตามที่สัญญาเอาไว้ พร้อมกับพาคนดูอย่างเราไปดูดินแดนของเกาะคนยักษ์ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เอาละเรามาดูกันดีกว่าว่า One Piece ตอนที่ 1134 จะมีอะไรน่าสนใจบ้างมาดูไปพร้อมกันเลย

เริ่มต้นด้วย ลูฟี่ ขอบคุณ เซาโล ที่ช่วยเหลือ โรบิน มาโดยตลอด และยื่นมือออกไปทำความรู้จักเพราะทั้งคู่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก โดยทางลูฟี่ก็พยายามเก็กเสียงและใช้คำพูดแบบเข้ม ๆ ประมาณว่าตนเองคือหัวหน้าอะไรแบบนั้น ลูฟี่พูดกับเซาโลว่า "ข้าเข้าใจว่าลูกน้องของข้าคนหนึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ให้ข้าได้แนะนำตัว" แต่ลูฟี่ยังไม่ทันได้พูดประโยคประจำตัวที่เราก็รู้ว่าพี่แกจะพูดอะไร ก็ถูกทางโรบินตัดบทพูดแทรกขึ้นมาว่า "นี่คือลูฟี่" (ลูฟี่แอบเซ็งที่ไม่ได้ตะโกนสโลแกนอยากเป็นราชาโจรสลัด) ทางด้านเซาโลได้ยินก็หัวเราะออกมาบอกว่า "ข้ารู้อยู่แล้ว ลูฟี่เป็นชื่อที่โด่งดังมากเลยนะ เธอพบเพื่อนที่ดีแล้วสินะโรบิน" โรบินยิ้ม "ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพวกพ้องที่คอยปกป้องคนอย่างฉัน" พอได้ยินแบบนี้กลุ่มหมวกฟางยกเว้น ลูฟี่ โซโล จินเบ ก็ร้องไห้อีกครั้ง พวกเขาบอกว่าจะปกป้องโรบินไปตลอดชีวิต เซาโลกล่าวขอบคุณกลุ่มหมวกฟางที่คอยปกป้องโรบิน
จากนั้น ลิลิธ ก็แนะนำตัวเองกับเซาโลและบอกว่าเธอคือ เวก้าพังค์ และลิลิธก็ขอให้ จินเบ ยกกล่องเหล็กที่เธอเอามาจากเอ้กเฮดลงมาจากเรือ ซึ่งเป็นกล่องเหล็กที่มีสติกเกอร์ติดไว้ว่า Vegapunk และข้างในเป็นแคปซูลอยู่ในนั้น จินเบบอกว่า "เราขนย้ายสิ่งนี้มาตามคำสั่งของเวก้าพังค์ ข้างในมีอะไรกันแน่" ลิลิธก็บอกแบบไม่ปิดบังว่าข้างในก็มีตัวฉันอยู่ยังไงละ ลูฟี่ที่สงสัยเลยพูดออกมาว่า "นี่คือร่างโคลนของเวก้าพังค์งั้นหรอ" ลิลิธพยักหน้า "ใช่แล้ว แต่นี่จะแตกต่างจาก Satellite ตัวอื่น ๆ เพราะเวก้าพังค์คนนี้คือแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นคนเดียวกับที่มาเยือนเอลบัฟเมื่อ 20 ปีก่อนด้วย รัฐบาลโลกน่าจะเริ่มสงสัยเป็นธรรมดาหาก สเตลล่า ถูกนำออกมาจากห้องแลป แต่เราขนย้ายร่างจำลองนี้ผ่าน Nutrient Medium แต่เราจะไม่สามารถนำร่างจำลองนี้ออกจากกล่องได้อย่างปลอดภัยเพราะไม่มีห้องแลป หรือเครื่องจักรที่มีคุณภาพมากพอ" ลิลิธบอกต่อว่าเธอจะอยู่ที่เอลบัฟเพื่อสร้างห้องแลปใหม่ และปลุกชีพเวก้าพังค์จากร่างโคลนตนนี้ และรักษา คุมะ ให้หายดีอีกด้วย บอนนี่ ที่ได้ยินก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก

หลังจากนั้นพวกคนยักษ์ก็พากลุ่มหมวกฟางทัวร์โรงเรียน โดย เซาโล โรบิน บอนนี่ ช๊อปเปอร์ และ ลิลิธ ขึ้นไปที่หอสมุดนกฮูก ขณะที่พวกลูฟี่กำลังทัวร์อยู่ ก็จะเห็นยักษ์เด็กกำลังเล่นกันอยู่ใกล้ ๆ น้ำพุของนักรบ อุซปที่เห็นเหล่าเด็กยักษ์ก็ถามเด็ก ๆ เหล่านั้นว่า สนใจจะไปร่วมผจญภัยต่อสู้กับเหล่าอันธพาลรึเปล่า เด็กเหล่านั้นเงียบและมีคนตอบแทนว่า "เด็ก ๆ เหล่านั้นไม่ทำแบบนั้นกันหรอก" และก็มีเด็กยักษ์คนหนึ่งบอกกับอุซปว่า "พวกนายต้องหลบออกไปนะไม่งั้นก็จะโดนดุเอา เพราะพวกนายอยู่บนหน้าอกของ ริปรีย์" พอเด็กยักษ์พูดจบอุซปและลูฟี่ก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนร่างของริปรีย์ที่นอนอยู่บนพื้นจริง ๆ โดยที่ตัวของลูฟี่ยืนอยู่บนหน้าอกของริปรีย์ เหมือนครั้งแรกที่ลูฟี่เจอกับ เจ้าหญิงชิราโฮชิ เลย โดยตัวของริปรีย์เป็นนักรบสาวสวยเผ่ายักษ์และมีรอยสักบนใบหน้า โดยเธอนั้นเป็นครูสอนชีวะวิทยาในโรงเรียนวอลรัส
อุซปที่รู้ว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนตัวคนยักษ์ก็รีบขอโทษขอโพยทันที ส่วนทางริปรีย์ก็หัวเราและบอกว่าไม่เป็นไร และเธอยังบอกอีกว่า "นักรบคนยักษ์อย่างเราไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันหมดยุคแห่งการฆ่าฟันแล้ว เหล่านักรบเอลบัฟไม่คิดไปทำลายโลกอีกต่อไป นั่นมันเรื่องราวเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว" ริปรีย์บอกต่อว่า "เด็ก ๆ ในโรงเรียนวอลรัสสุภาพและรักสันติกว่าเด็กในเอลบัฟ เพราะทำตามเจตนารมณ์ของ กษัตริย์ฮาราล ที่ต้องการให้เอลบัฟเป็นประเทศที่รักสันติทำการค้าและเจรจาแทนการทำสงคราม นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ค่อยถูกกับผู้อาวุโสของเอลบัฟ แต่พอกษัตริย์ฮาราลสิ้นพระชนโดยฝีมือลูกชายตัวเอง เอลบัฟจึงไม่มีกษัตริย์มานับตั้งแต่นั้น" และริปรีย์ยังบอกอีกว่าเธอเป็นนักรบคนยักษ์รุ่นสุดท้ายของนักรบยักษ์ และเธอยังบอกอีกว่าอยากเห็นลูฟี่ในร่างสีขาว (ร่างเทพนิกะ) เพราะตำนานในเอลบัฟเคยกล่าวไว้ว่า มีนักรบที่มีลักษณะแบบนี้ปรากฏตัวในอดีตเมื่อนานมาแล้ว

ตัดมาที่ โรบิน ช๊อปเปอร์ ลิลิธ บอนนี่ และ เซาโล ก็มาถึงหอสมุดนกฮูก ก่อนจะเข้าไปข้างในเซาโลก็บอกกับโรบินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดเรื่องในโอฮาร่าว่า "ตั้งแต่ข้ามาถึงเอลบัฟ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับโอฮาร่า ข้าก็คิดถึงแต่หนังสือเอกสารสำคัญที่ถูกเก็บเอาไว้ที่นั่น เพราะเหล่านักวิชาการสละชีวิตคอยปกป้องมันเอาไว้ ข้าจึงไปขอความช่วยเหลือจาก ฮัจรูดิน เพื่อไปเอาเอกสารเหล่านั้นมา จนพวกเรากลับไปที่โอฮาร่าอีกครั้ง พอข้าเห็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ เหล่านั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ข้าก็ร้องไห้ออกมาเลย เอาล่ะ เข้าข้างในกันเถอะ" เมื่อก้าวเข้าห้องสมุดนกฮูก ทุกคนต่างก็ตื่นตะลึกตกใจกับหนังสือยักษ์เต็มห้องสมุด และหนังสือที่โรบินถืออยู่ก็กลายเป็นหนังสือขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าตัวโรบิน โดยเราจะได้เห็นหอสมุดนกฮูกที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มยักษ์มากมายบนชั้นหนังสือ ตู้หนังสือขนาดใหญ่มีกิ่งก้านไม้ยื่นออกมา แถมมีนกฮูกนอนหลับอยู่ด้วย (เดี๋ยวเขาไม่รู้ว่าคือห้องสมุดนกฮูกซินะ)
เซาโลหัวเราะ "เป็นไงล่ะตกใจใช่ไหม นี่คือหนังสือทั้งหมดที่อยู่ในโอฮาร่า" เซาโลบอกต่อว่า "ที่หอสมุดนกฮูกหนังสือทุกเล่มจะใหญ่ขึ้นเมื่อเข้ามาที่แห่งนี้ นี่คือบันทึกที่ชาวโอฮาร่าปกป้องมาตลอด 22 ปี เรารักษามันไว้ตลอดเพื่อคนรุ่นหลัง" และสิ่งที่เซาโลพูดมันก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ ดร.โคลเวอร์ พูดกับโรบินที่ต้นไม้แห่งความรู้ตอนที่เธออายุได้แค่สองขวบ พอคิดถึงตอนนั้นโรบินก็ร้องไห้ออกมา

ตัดกลับมาที่ดินแดนใต้โลก เจ้าชายโลกิ กำลังคุยกับใครสักคนที่ชื่อว่า โมสะ ที่เรายังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง โดยทาง เจ้าชายโลกิ และ โมสะ รู้จักกันผ่านแมลงสื่อสารโดยที่ไม่เคยเจอตัวกันมาก่อน ทางเจ้าชายโลกิบอกว่าตนเองมีเวลาเหลือเฟือ แถมกำลังเบื่อเลยคุยกับโมสะมาตลอด จนเวลาผ่านไปเจ้าชายโลกิก็เริ่มมองโมสะเป็นเพื่อนและพูดกับเขาด้วยความสุภาพต่างกับที่คุยกับลูฟี่ตอนนั้น เจ้าชายโลกิพูดกับโมสะว่า "ข้าจำได้ที่คุณเคยเล่าประสบการณ์น่าขนหัวลุกในอดีต คุณยังไม่ลืมมันไปอีกหรอ" โมสะตอบว่า "ก็นะ แค่คิดถึงก็ยังสั่น ๆ อยู่เลย" เจ้าชายโลกิยิ้ม "ถ้าข้าอยู่ที่นั่นนะ ข้าจะฆ่ามันให้หมดเพื่อคุณเลยโมสะ" โมสะเหมือนจะยิ้มและบอกกับเจ้าชายโลกิว่า "แม้ว่าจะใช้คำพูดที่ดูโหดร้าย แต่กลับรู้สึกดีใจและอบอุ่น คุณเป็นคนใจดีมาก ๆ" แต่พอเจ้าชายโลกิถูกชมว่าเป็นคนดีพี่แกก็ของขึ้นด้วยความไม่พอใจ

ตัดมาที่เหล่าคนยักษ์ที่กำลังฉลองรอพวกลูฟี่กลับมา ก่อนจะเปลี่ยนมาภาพภายในปราสาทในห้องบัลลังก์ ที่จู่ ๆ ก็มีแสงสีดำเป็นวงวาปเกิดขึ้นมา โดยวงเวทย์นั้นเหมือนกับที่เราเคยเห็นที่เอ้กเฮดตอนที่พวกห้าผู้เฒ่าปรากฏตัวบนเกาะ แต่วงเวทย์ที่เราเห็นในตอนนี้จะไม่มีเลขปรากฏอยู่ และมีคน 2 คนออกจากวงเวทย์ โดยทั้งคู่นั้นใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้นในท่าคุกเข่า ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของตอนนี้คือหนึ่งใน 2 คนที่ปรากฏตัวออกมานั้นมีหน้าตาเหมือน แชงส์ ส่วนคนที่สองรูปลักษณ์เหมือนผู้หญิงมีผมปาดตาข้างขวาก่อนจะจบตอน โดยในตอนต่อไปจะเป็นการเข้าสู่เนื้อหาหลักแล้ว (พาทัวร์เกาะคนยักษ์ครบแล้ว) ซึ่งถ้าใครอ่านสปอยล์ตรงนี้จบก็ไปอ่านแบบเห็นภาพต่อได้ที่เว็บไซต์ MANGA Plus ต่อได้เลย ประมาณว่าอ่านตรงนี้ไปก่อนกันโดนคนอื่นสปอยล์ และถ้าตอนที่ 1135 มาเมื่อไหร่เราจะรีบเอามาสปอยล์ให้อ่านทันทีติดตามเอาไว้ได้เลย