มาถึงตอนที่ 2 กันแล้วกับเรื่องราวของวิทยาศาสตร์กู้โลกอย่าง Dr. Stone ซีซัน 4 ที่ถ้าใครจำได้ในตอนที่แล้ว จบลงตรงที่พวก เซ็นคู ที่ถกเถียงกันเรื่องการเดินทางไปอเมริกา เพื่อให้ทันกำหนดที่ข้าวโพดของอเมริกาออก จะได้สามารถผลิตน้ำยาคืนชีพได้ปริมาณมาก ๆ แต่การเดินทางก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะบนท้องทะเลอะไรก็เกิดขึ้นได้ รวมถึงสภาพจิตใจของลูกเรือที่มีส่วนสำคัญในการเดินทาง จึงต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจให้ลูกเรือ โดยในตอนที่ 2 นี้จะมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย
เปิดตอนมาก็เป็นการต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่เหล่าลูกเรือต่างพากันพักผ่อนกับเบียร์ที่เซ็นคูทำเอาไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือ ซึ่งการเดินทางบนเรือก็นานพอที่เบียร์ที่บ่มไว้จะได้ที่พอดี แต่ก็มีลูกเรือบางคนที่ไม่อยากดื่มเลยมีเครื่องดื่มแปลก ๆ ที่ทำเฉพาะบางคนขึ้นมาจากพลังของวิทยาศาสตร์ และในคราวนี้เราก็ได้รู้ว่าที่บาร์เทนเดอร์เขย่าแก้วหมุนควงไปมาที่เราเห็นนั้น ไม่ได้ทำเพื่อการผสมเหล้าหรือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย แต่ทำไปเพื่อการแสดงให้คนดื่มเพลิดเพลินเท่านั้น
นอกจากนี้เราก็ได้เจอเพื่อนร่วมทีมคนสำคัญ ที่เป็นเหมือนตัวละครลับประจำเรื่องอย่าง น้องกำมะถัน ที่เราต่างรู้ดีว่าสิ่งนี้มีพิษร้ายแรงมาก ๆ ที่กว่าเซ็นคูจะไปเอามาได้ก็เล่นเอาแทบแย่ เพราะพิษของมันสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่สิ่งนี้กลับมีประโยชน์กับมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ และกัมมะถันก็เป็นหนึ่งในการทำน้ำหวานที่เราคิดและหลาย ๆ อย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งหลายคนที่ได้ดูอนิเมะหรืออ่านมังงะ Dr. Stone คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกับตัวละครในเรื่องว่า พลังของวิทยาศาสตร์มันช่างน่าสนใจและวิเศษจริง ๆ
ต่อมาคือการบอกเล่าถึงอดีตของ มัตสึคาเสะ (นักดาบที่เคารพ กินโร) ว่าในอดีตสมัยก่อนนั้นมีอุปกรณ์ที่ทำให้คนเป็นหินตกลงมาบนเกาะเหมือนเป็นการจงใจของใครบางคน ซึ่งในตอนแรกชาวเกาะก็ไม่รู้จักและหวาดกลัวมัน แต่ไม่นานมนุษย์ก็รู้วิธีใช้มันและสิ่งนี้ก็ถูกใช้เป็นอาวุธ จนสุดท้ายนายน้อยของมัตสึคาเสะก็เสียชีวิต ที่ถ้าตอนนั้นมัตสึคาเสะไม่ตัดแขน และปล่อยนายน้อยเป็นเป็นก็คงจะไม่ตุยอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่แน่ว่ารูปปั้นนายน้อยอาจจะถูกทำลายทิ้งเหมือนคนอื่น ๆ ก็ได้ (ของมัตสึคาเสะ บังเอิญไม่ถูกทำลาย) ดังนั้นการตัดแขนหรือปล่อยให้นายน้อยเป็นหินก็น่าจะมีค่าเท่ากัน และตรงนี้ก็ทำให้เราทราบว่าสุดท้ายกลุ่มโจรเหล่านี้ก็ชนะ จนเวลาผ่านไปผู้ใหญ่บ้านก็สั่งทำลายเครื่องทำให้เป็นหินนี้ให้หมด และเหลือไว้เพียงแค่ชิ้นเดียวจนมันสืบทอดต่อ ๆ กันมาจนถึงตอนนี้ และตอนนี้มันก็อ่อนกำลังจนใช้งานไม่ได้แล้ว
ต่อมาก็เป็นเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับชาวไวกิ้ง ที่สามารถเดินทางข้ามทวีปได้ด้วยหินพระอาทิตย์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ แร่แคลไซต์ ที่ โครม เก็บมาสมัยก่อนเจอเซ็นคูซึ่งตัวของโครมนั้นมีหัวใจความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่อย่างเต็มเปี่ยม ขนาดเซ็นคูยังยอมรับและเคยพูดเสมอว่า ถ้าโครมเกิดในยุคตนโครมคงจะเป็นนักวิทยาศาตร์ที่เก่งไม่แพ้ตนแน่นอน และด้วยการใช้แร่แคลไซต์สะท้อนภาพจากแสงพระอาทิตย์ในตอนกลางคืน หรือตอนที่เมฆบังก็สามารถเดินทางได้ถูกไม่หลงทาง (ชาวไวกิ้งใช้พระอาทิตย์นำทาง) แต่ในตอนปกติก็ใช้การคำนวนเวลาของญี่ปุ่น ที่ส่งสัญญาณมาที่เรือเป็นตัวบอกเส้นทางและเวลาเดินเรือเหมือน GPS ที่คนธรรมดาอย่างเราฟังก็คงจะงง แต่คนเดินเรือและคนที่อ่านแผนที่เขาจะเข้าใจส่วนนี้
ปิดท้ายกับการชุบชีวิต เฮียวงะ นายตาตี่ผู้เก่งวิชาหอก กับ โมซ (หนุ่มขี้หลี) และ โมมิจิ สาวน้อยคนสนิทของเฮียวงะ ที่เคยเป็นศัตรูให้ฟื้นจากการกลายเป็นหิน โดยบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้โลกเป็นแบบนี้ และกำลังจะเดินทางไปยังดวงจันทร์เพื่อแก้ไขทุกอย่าง ทุกคนจึงยอมรับและมาเป็นพวก (อย่างลืมว่านี่คือการ์ตูนโชเน็น) จนมาถึงตอนท้ายทุกคนก็เดินทางถึงอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย
ในตอนต่อไปจะเป็นการเปิดตัวฝ่ายร้ายที่จะมาเป็นศัตรูกับพวกเซ็นคู พวกเขาคือใครและคืนสภาพจากการเป็นหินได้อย่างไร ? โดยหลังจากนี้จะเป็นการทำสงครามวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ ที่สนุกตื่นเต้นเร้าใจกว่าเดิมเพราะอีกฝ่ายฉลาดและพัฒนาตัวเองไปไกลกว่าของเซ็นคูหลายขั้น บอกเลยว่าสนุกน่าติดตามทุกตอนห้ามพลาดบอกเลย ส่วนใครที่สนใจก็ไปติดตามได้ทาง Netflix ที่จะฉายทุกวันพฤหัสได้เลย แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้า