เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับซีรี่ย์ 30 ของ NVIDIA ซึ่งข้อมูลที่มีการเปิดตัวในรอบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพลิกโผมากนัก แต่ก็ยังคงเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อีกครั้งของอุสาหกรรมการ์ดจอเช่นกัน เพราะการ์ดจอซีรี่ย์นี้มีความแรงก้าวเพิ่มขึ้นจากการ์ดจอรุ่นก่อนๆ มาก ชนิดใครที่เพิ่งซื้อไปเมื่องานคอมมาร์ตที่ผ่านมา อาจจะน้ำตาตกได้เลยทีเดียว



สิ่งที่เป็นการอัพเกรดสำคัญของซีรี่ย์ 30 ก็คือ ตัวชิปการ์ดจอจะได้รับการอัพเกรดประสิทธิภาพ "เกือบ 2-3 เท่า" พร้อมกันทั้ง 3 ส่วน ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ประมวลผลภาพทั่วไป ส่วนที่ทำงาน Ray Tracing และส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับ AI ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญของการ์ดจอ GeForce RTX
ภาพตอนอัพเกรดจาก ซีรี่ย์ 10 ไป ซี่รี่ย์ 20 ที่ชิปการ์ดจอ จะมีส่วนที่คำนวน Ray Tracing และ AI เพิ่มขึ้นมา
ด้านล่างคือภาพจากการประกาศเมื่อคืน ซึ่งประสิทธิภาพของทั้ง 3 ส่วนดีขึ้น 1.7-2.7 เท่าทีเดียว


จากรูปเทียบค่าสเตตัสด้านบนก็จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพของการ์ดจอซีรีย์นี้จะแรงขึ้นจากเดิมแน่อน แต่นอกเหนือจากชิปประมวลผลที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นแล้ว ในเรื่องของ RAM หรือหน่วยความจำซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการส่งต่อ Data สำหรับรุ่น Founder ก็ได้รับการอัพเกรดเป็น Micron G6X ที่ Nvidia เคลมว่าเร็วที่สุดในโลกด้วย
และในเรื่องของการใช้พลังงาน การ์ดจอซีรี่ย์นี้ ได้เปลี่ยนรูปแบบสถาปัตยกรรม เทคโนโลยี และการวางตำแหน่งของโปรเซสเซอร์ต่างๆ ใหม่ ให้ทุกส่วนพัฒนาขึ้นพร้อมกัน แถมยังใช้เทคโนโลยีชิปที่เล็กลงเหลือ 8 นาโนเมตร ดังนั้นการใช้พลังงานของรุ่นนี้จะดีขึ้นกว่าซีรีย์ 20 ถึง 1.9 เท่า ในกรณีที่ประมวลผลภาพออกมาคุณภาพเท่าๆ กัน (กินไฟน้อยลงเข้าไปอีก)

จากการที่การ์ดจอซีรี่ย์นี้ได้รับการอัพเกรดขึ้นในทุกๆ ด้าน ทำให้ประสิทธิภาพของมันสูงขึ้นกว่าเดิมมาก และด้านล่างคือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อใช้งานแบบ 4K ซึ่งจะเห็นได้ว่าความแรงของซีรีย์ 30 จะแรงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ มากทีเดียว

ทั้งหมดคือการอัพเกรดหลักๆ ของซีรี่ย์ 30 ที่เพิ่มเข้ามา แต่ในงานก็ไม่ได้มีแค่การโชว์ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีการเปิดเผยเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งจะทำให้คนใช้การ์ดจอซีรีย์นี้ ได้รับประโยชน์นอกเหนือจากได้ฮาร์ดแรงๆ ไปใช้ด้วย โดยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ผู้ใช้ NVIDIA อัพเดตมาในงานครั้งนี้ มีดังนี้ครับ
NVIDIA Reflex
เทคโนโลยีลด Latency ของภาพขณะเล่นเกม ที่ NVIDIA จะทำงานร่วมกับ Dev ของเกมต่างๆ เพื่อให้การแสดงผลภาพมีความหน่วงน้อยที่สุด (เมื่อเปิด Option นี้ในเกม) โดยเกมที่กำลังจะมีเทคโนโลยีนี้ได้แก่ Fortnite, Valorant, Apex Legends, Call of Duty: Black Ops Cold War, Call of Duty: Modern Warfare, Call of Duty: Warzone, และ Destiny 2 ซึ่งจะทำให้คนใช้การ์ดจอ NVIDIA แม้แต่รุ่น GTX 1650 ก็จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เช่นกัน
NVIDIA RTX I/O
เทคโนโลยี ที่จะทำให้ SSD สื่อสารกับชิปการ์ดจอ ผ่าน PCIe 4.0 ได้ดียิ่งขึ้น และไม่จำเป็นต้องพึ่ง CPU เป็นหลักในการสื่อสารระหว่าง SSD และการ์ดจอในการประมวลผลอีกต่อไป ดังนั้นถ้าโปรแกรมหรือเกมใดๆ มีการอัพเดตมารองรับและใช้เทคโนโลยีนี้ละก็ ก็จะทำให้การส่งข้อมูลระหว่าง 2 ส่วนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ
**ยังไม่มีการเปิดเผยเกมหลักๆ สามารถที่ใช้เทคโนโลยีนี้ได้ ต้องรอทาง Windows อัพเดตเทคโนโลยี DirectStorage API ปีหน้า
NVIDIA Broadcast
โปรแกรมถ่ายทอดสดของ NVIDIA ที่อาศัยประโยชน์จากการที่การ์ดจอมี AI ฝั่งอยู่ในตัว นำเอา AI มาประมวลผลเกี่ยวกับภาพ เช่น ตัดฉากหลังของเราโดยไม่ต้องใช้ Green Screen แต่ใช้ AI คำนวนว่า "คน" อยู่ตรงไหนของภาพแทน หรือใช้ AI คำนวณเสียง ว่าเสียงอันไหนเป็นของเราและเสียงอันไหนเป็นเสียงรบกวนจากภายนอกเป็นต้น
DLSS 2.0
เป็นผลประโยชน์จากการที่มี AI อยู่ในการ์ดจอเช่นกัน โดย DLSS คือเทคโนโลยีที่ใช้ AI มาช่วยประมวลผลภาพขณะเราเล่นเกม โดย AI จะใช้ข้อมูลของภาพที่มีขนาดที่เล็ก มาคำนวณว่าหากต้องการทำให้ภาพมีขนาดตามที่เรากำหนด แต่ละ Pixel ของภาพควรจะเป็นอย่างไร
เดิมทีเทคโนโลยีนีมีมาตั้งแต่ซีรีย์ 20 ในเวอร์ชั่น 1.0 แล้ว แต่ล่าสุดได้มีการอัพเกรดเวอร์ชั่นเป็น 2.0 ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาในการเปิดให้เกมของตัวเองใช้เทคโนโลยี DLSS ได้ (แต่สุดท้ายก็ยังต้องรอให้เกมต่างๆ นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อยู่ดี)
เพิ่มเกมที่รองรับ Ray Tracing ได้
นอกจาก Cyberpunk 2077 ที่ประกาศแล้ว ในปีนี้จะมี Fortnite และ Call of Duty: Black Ops Cold War อีก 2 เกมที่จะใช้ Ray Tracing ได้ด้วย
สุดท้ายนี้ ตามธรรมเนียมของการเปิดตัวซีรี่ย์ใหม่ ก่อนที่แบรนด์ไอทีต่างๆ จะนำชิปของ NVIDIA ไปผลิตเป็นการ์ดจอในแบรนด์ของตัวเอง ทาง NVIDIA ก็จะเปิดตัวโมเดลของตัวเอง (ที่เรียกว่า Founder Edition) มาวางจำหน่ายก่อนเป็นเจ้าแรกด้วย (รูปที่อยู่ด้านบนสุดของบทความนี่แหละ)

การ์ดจอ GeFroce RTX 3080 และ GeFroce RTX 3090 โมเดล Founder Edition ในรอบนี้ จะมีระบบระบายความร้อนรูปแบบใหม่ และแผงวงจรที่มีขนาดเล็กลง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพิ่มอีกหนึ่งอย่างสำหรับซีรีย์นี้ด้วย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงโมเดลของ Founder Edition อาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับแบรนด์ต่างๆ ที่น่าจะมีโมเดลและระบบระบายความร้อนของตัวเองออกมา (แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะมีการ์ดจอทรงนี้ไปโผล่ในแบรนด์ไหนสักแบรนด์หนึ่งก็ได้เช่นกัน)

Founder Edition จะเริ่มวางขาย 17 กันยายนนี้ และแบรนด์ต่างๆ ที่ผลิตการ์ดจะ GeForce ก็คงทยอยปล่อยข้อมูลออกมาทันที ส่วนราคาก็จะใกล้เคียงกับการ์ดจอซีรีย์ 20 มาก เพราะราคาของ Founder Edition นั้นไม่ได้แตกต่างจากตอนเปิดตัวซีรีย์ 20 แต่อย่างใด (จริงๆ คือ ณ ตอนเปิดตัวของทั้งคู่ ซีรีย์นี้ถูกกว่าด้วย)
ราคาเปิดตัว โมเดล Founder Edition
GeForce RTX 3070 - ราวๆ 17,600 บาท ($499)
GeForce RTX 3080 - ราวๆ 24,600 บาท ($699)
GeForce RTX 3070 - ราวๆ 52,800 บาท ($1,499)
**การ Founder Edition ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนการ์ดของแบรนด์จะแพงกว่านี้เล็กน้อย