
ในที่สุดข้อมูลที่ทุกคนอยากรู้ ก็ได้เวลาถูกเปิดเผยสู่ชาวโลกสักที กับผลทดสอบประสิทธิภาพของ NVIDIA GeForce RTX 3080 การ์ดจอรุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะกลายเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและราคา แต่ความคาดหวังนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตามบทความนี้ไปแล้วพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยครับ


เครื่องหลักที่ใช้ทดสอบ
- CPU: Intel Core i9-10900K / AMD Ryzen 9 3900X
- Motherboard: ASUS ROG Maximus XII Hero / Crosshair VIII Formula
- Memory: Kingston HyperX Predator DDR4-3600 16GBx2
- Graphics Card: NVIDIA GeForce RTX 3080 / RTX 2080 Ti / RTX 2080 SUPER
- Storage: Kingston KC2500 NVMe PCIe SSD 2TB
- Power Supply: Antec High Current Pro HCP-1200W
ทดสอบเฟรมที่ได้จากเกมระดับ AAA
เริ่มต้นด้วยการเทส FPS ที่ได้จากการเล่นเกมกันก่อน รูปแรกในอัลบัมด้านล่างคือ FPS ที่ได้จากการเล่นแบบ 4K ซึ่งจะเห็นได้ว่า GeForce RTX 3080 นั้นสามารถทำเกิน 60FPS ได้ทุกเกม แถมหลายๆ เกมสามารถเล่นแบบเกิน 100FPS ด้วย ถ้าหากเปรียบเทียบกับการ์ดจอรุ่นก่อน ประสิทธิภาพโดยรวมของรุ่นนี้จะดีกว่า RTX 2080Ti อย่างชัดเจน เทียบเป็นตัวเลขได้ราวๆ 30%
สำหรับการเล่นแบบ WQHD หรือขนาด 2460x1440 ความแตกต่างอาจจะลดลงมา แต่รุ่นใหม่ก็ยังดีกว่า RTX 2080Ti ราวๆ 23% อยู่ดีสำหรับการเล่นเกมด้วยภาพขนาดเท่านี้ ยิ่งถ้าไปเปรียบเทียบกับ RTX 2080 SUPER ประสิทธิภาพยิ่งแตกต่างกันมาก บางเกมอาจจะห่างกันถึง 70% ชนิดไม่เกรงใจเลข 80 ที่ต่อท้ายของรุ่นก่อนเลยแม้แต่น้อย


ทดสอบเฟรมที่ได้จากเกมแบบ FPS
สำหรับเกมแนว Esports เราทดสอบทั้ง FullHD, WQHD และ 4K เพราะเกมแนวนี้การ์ดจอเรือธงทั้งหลายสามารถระเบิดพลังได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ภาพแบบ FullHD ของ CS:GO จะไม่มีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่ (เทียบกันด้วยจำนวนตัวเลข) แต่พอขยับมาเป็น 4K ยิ่งเป็นงานที่หนักและยากขึ้น ความแตกต่างระหว่าง 3 รุ่นนี้ก็ยิ่งเห็นผลอย่างชัดเจน

ทดสอบเฟรมที่ได้จากการใช้ Ray Tracing
ไฮไลท์อย่างหนึ่งของงานเปิดตัวรุ่นนี้ คือการที่ NVIDIA ประกาศว่าประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมแบบ Ray Tracing จะดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนมาก ซึ่งหลายเกมๆ ที่เราทดสอบด้วยภาพขนาด 4K และเปิด Ray Tracing ไปด้วยก็เห็นความแตกต่างจริงๆ โดยเฉพาะกับเกมที่ออกมาใหม่ อย่าง Wolfenstein: Youngblood ที่สามารถเล่น 4K ได้แบบลื่นๆ เลยด้วยซ้ำ
ตัวเลขการทดสอบทั้งหมดนี้ เป็นการเล่นที่ใช้ DLSS 2.0 มาช่วยเรื่องการประมวลผลด้วย และการเล่นทั้งแบบ WQHD และ 4K การ์ดจอ GeForce RTX 3080 ทำได้ดีกว่าการ์ดจอรุ่นก่อนในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละเกมมีการอัพเดตอัลกอลิทึ่มเพื่อทำงานร่วมกับ RT Core และ Tensor Core แตกต่างกันไป ดังนั้นความแตกต่างของการ์ดจอ 3 ตัวนี้ จะต่างกันมากหรือน้อย ผู้พัฒนาเกมรวมถึงความเก่าใหม่ของเกมก็ค่อนข้างมีผล
รูปสุดท้ายที่เราเอามาลงในการทดสอบตรงนี้ คือการทดสอบด้วย V-Ray Benchmark ซึ่งปรากฎว่า ประสิทธิภาพของ GeForce RTX 3080 ดีกว่า RTX 2080 Ti ถึง 1.7 เท่า และดีกว่า RTX 2080 SUPER 2.3 เท่าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าพลังของ GeForce RTX 3080 ในการทำงานพวกนี้ ดีกว่าการ์ดจอซีรีส์ 20 มาก



ทดสอบเรื่องการกินพลังงานและความร้อน
ในเรื่องการใช้พลังงาน การ์ดจอรุ่นใหม่ถือว่าใช้พลังเยอะกว่าพอสมควร แต่เทียบสัดส่วนกับ FPS ที่ได้มาโดยรวม ก็ถือว่าคุ้มกว่าตามที่ NVIDIA ได้ประกาศเอาไว้ และถึงแม้การ์ดจะรุ่นใหม่จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ด้วยระบบระบายความร้อนของตัว Founders Edition ทำให้อุณภูมิของการ์ดจอรุ่นนี้กลับน้อยกว่าการ์ดจอรุ่นก่อนหน้าทั้ง 2 ตัวเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เราอยากได้ Founders Edition แค่ไหนแต่มันก็ไม่มีขายในไทย และระบบการใช้พลังงานรวมถึงระบบระบายความร้อน สำหรับการ์ดจอที่เราจะซื้อใช้กันจริงๆ อาจจะต้องไปทดสอบกันทีละแบรนด์ต่อแบรนด์อีกที ซึ่งหากมีโอกาสในอนาคตเราจะเอาผลทดสอบของการ์ดจอแต่ละรุ่นมาสรุปเป็นบทความให้ดูกันอีกทีนะครับ


สรุปภาพรวมก็คือ การ์ดจอรุ่นนี้สำหรับการเล่นเกมทั่วไป พลังล้วนๆ ก็ยังแตกต่างจาก GeForce RTX 2080 Ti / RTX 2080 SUPER แบบเห็นได้ชัด และจะยิ่งแตกต่างมากขึ้นเมื่อเล่นเกมแบบ 4K และเล่นเกมแบบ Ray Tracing ซึ่งกำลังจะเข้ามาในอนาคต
เรื่องสำคัญก็คือ การ์ดจอ GeForce RTX จะเป็นการ์ดจอที่มี Tensor Core ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่อง AI อยู่ในตัว ดังนั้นมันจะมีความสามารถหลายๆ อย่างที่การ์ดจอ GeForce GTX ทั้งหลายไม่สามารถทำได้ (จากข่าวนี้) ดังนั้นใครที่ใช้ซีรีย์ 10 หรือต่ำกว่า ในตอนนี้อาจจะได้เวลาที่คุ้มค่ามากๆ ของคุณแล้วที่จะอัพเกรดครับ