ณ เวลานี้สงครามตลาด CPU ในช่วงปลายปี 2020 นั้นยังคงดุเดือดเลือดผล่านเหมือนเดิม โดยเฉพาะทางฝั่ง AMD ที่ปล่อยของประสิทธิภาพสูงออกมารัวๆ ไม่มีหยุด และหนึ่งในรุ่นเรือธงที่ออกมาพิชิตคู่แข่งก็คือ Ryzen 9 5950 ที่แม้ความเร็วของมันจะเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่สิ่งที่พัฒนาไปจริงๆ ก็คือสถาปัตยกรรมของมันต่างหาก แม้ราคาจะสูงแต่ประสิทธิภาพของมันก็น่าจะทำให้ใครหลายคนน้ำลายหกอยากเป็นเจ้าของกันไม่น้อยแน่นอน
สถาปัตยกรรมที่ล้ำหน้ากว่าเก่า
Zen 3 เป็นสถาปัตยกรรมที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมด้วยกระบวนการผลิตแบบ 7nm จากเดิมใน Zen 2 นั้นสามารถวาง Core ของ CPU ใน CCX ได้เพียงแค่ 4 Core แต่ Zen 3 สามารถวางได้ถึง 8 Core ต่อ CCX ช่วยลดเวลาในการประมวลผลได้อย่างมหาศาลมาก
นอกจากในเรื่องของ CCX แล้ว L3 Cache ที่ใหญ่ขึ้นก็มีส่วนช่วยในเรื่องของการประมวลผลด้วยเช่นกัน ด้วย L3 Cache แบบ 8 Core ที่ขยายขึ้นมาเป็น 32MB นั้นทำให้เราไม่สงสัยเลยว่า CPU ๗ะทำงานด้เร็วขึ้นกว่าเก่าแค่ไหน และสุดท้ายคือ IPC ที่ใหญ่กว่าเดิม 19% ก็มีผลต่อความเร็วสัญญาณนาฬิกาของ CPU ด้วยเช่นกัน
ภาพรวมของ CPU
Ryzen 9 5950X ถือได้ว่าเป็น CPU ระดับเรือธงที่เจาะตลาดผู้บริโภคระดับ Mainstream และ High-End ด้วยความเร็ว 3.4 GHz 16 cores/32 threads บูสความเร็วได้สูงสุดที่ 4.9 GHz สูงที่สุดใน Ryzen 9 ทุกตัว พร้อม L2 Cache 8MB และ L3 Cache 64MB พร้อมอัตราบริโภคพลังงานที่ 105W
แม้ตัว Packaging จะดูธรรมดาไม่ได้เร้าใจ แต่ประสิทธิภาพของมันนั้นยังคงเป็นสิ่งเราสนใจมากกว่าอยู่ดี
สเปกเครื่องที่ใช้ทดสอบ
- Motherboard: ASUS ROG Crosshair VIII Dark Hero / Maximus XII Hero
- ชุดระบายความร้อน : Thermalright Silver Arrow T8 + TF8 thermal paste
- Memory: Kingston HyperX Predator DDR4-3600 16GBx2
- Graphics card: NVIDIA GeForce RTX 3080 Founders Edition
- Storage: Kingston KC2500 NVMe PCIe SSD 2TB
- Power supply: Antec High Current Pro HCP-1200W
โดยการทดสอบนี้จะเป็นการเปรียบเทียบกับ CPU ตัวแรงในรุ่นก่อนอย่าง Ryzen 3950X และตัวท็อปของ Intel อย่าง i9-10900K เพื่อเทียบกันจะๆ ไปเลยว่าใครจะแรงกว่ากัน
ทดสอบการเล่นเกม
สำหรับการทดสอบในแบบ Full HD นั้นเราจะเห็นได้ว่า Ryzen 5 5950X นั้นทำคะแนนได้สูสีกับ 10900K ของ Intel อยู่พอตัว อาจมีบางเกมที่คะแนนตามหลังแต่หลายเกมก็ทำคะแนนนำไปได้เช่น Forza Horizon 4, Hitman 2 ส่วนในแบบ 2K และ 4K นั้นอาจจะด้อยกว่า แต่ก็หนีกันไม่มากนัก เรียกว่าพอจะงัดกันได้ในระดับเดียวกัน
การ Render และ Encoding
แต่ถ้าหากเป็นงาน Render และ Encoding อันนี้ก็ยังหายห่วงเช่นเดิม Ryzen 9 5950X เหนือกว่าทั้ง i9-10900K และ Ryzon 9 3950X แบบเห็นได้ชัดเจนมากๆ ในการทำงานแบบ Single Core และ Multi Core ในโปรแกรม Benchmark อย่าง Cenibench R20, Corona 1.3, AIDA64 GPGPU และ V-Ray ที่นำโดดมาแบบไร้คู่แข่ง
อัตราการกินพลังงานและความร้อน
ทางทีมงานทดสอบการใช้พลังงานและความร้อนที่เพิ่มขึ้นด้วยโปรแกรมอย่าง Prime 95, Blender และ AIDA64 แต่ดูเหมือนว่าตัวโปรแกรมจะมีปัญหากับ CPU Ryzen 9 5950X อยู่เล็กน้อยทำให้เกิดปัญหาในการทดสอบอยู่พอสมควร แต่โปรแกรม Blender ก็ทำให้ Ryzen ต้องรีดพลังออกมามากกว่าที่กำหนดไว้ได้
ส่วนในเรื่องของความร้อน ช่วง idle นั้น Intel ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่พอถึงช่วงใช้งานสูงสุดกลับพบว่าความร้อนของ Ryzen 9 5950X นั้นเย็นที่สุดที่ 60.3 องศา ในขณะที่ i9-10990K มีความร้อนพุ่งทะยานไปมากกว่า 97 องศาในการทดสอบบนโปรแกรม Prime 95 และ AIDA64 ซึ่งต้องอบคุณ Heat Sink ขนาดใหญ่ของ CPU ที่ช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างมาก
สรุปแล้ว Ryzen 9 5950X คุ้มค่าไหม?
สำหรับเกมเมอร์ 5950X นั้นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของความแรงที่ชัดเจนมากนัก เพราะ Intel i9-10990K ยังแรงกว่าในบางเกมและการทดสอบ แต่ในเรื่องของการ Render และ Encoding นั้นทำได้ดีกว่ามากๆ จากจำนวน Core และ Thread ที่สูง รวมไปถึงการระบายความร้อนที่ค่อนข้างดีกว่าจาก Heat Sink ขนาดใหญ่ด้วยนั่นเอง
ทว่าในประเทศไทยนั้นอาจจะต้องปาดเหงื่อกันหน่อยถ้าหากจะหาซื้อมาใช้งาน เนื่องจากราคาค่าตัวของมันที่ค่อนข่างจะสูงมากนั่นเองเมื่อเทียบกับคู่แข่ง(i9-10990K ราคาอยู่ที่ประมาณ 18,700 บาท ส่วน Ryzen 9 5950X นั้นอยู่ที่ 28,700 บาท ต่างกันอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นบาท) ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่สายตัดต่อหรือต้องเรนเดอร์งานเยอะๆ และเน้นเล่นเกมเป็นหลัก Intel ก็จะยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอยู่ดี
แต่ถ้าใครไม่ติดขัดเรื่องเงินและอยากใช้ CPU จาก AMD อยู่แล้ว Ryzen 9 5950X ถือเป็นตัวเลือกสำหรับสายเกม+ตัดต่อจบในตัวเดียวที่ดีอีกตัวหนึ่ง ด้วยจำนวน Core และ Thread ที่มากพอจะทำได้ทุกอย่าง รวมไปถึงการระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม เรียกว่าไม่ผิดหวังที่จะมีไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน