หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ผู้เกมบน PC มีมานาน แต่ชาวคอนโซลกำลังจะได้สัมผัสในยุคใหม่นี้ก็คือ การที่ตัวเกมสามารถทำเฟรมเรทได้มากกว่า 120 FPS เล่นได้ลื่นไหลเต้มอารมณ์มากขึ้น ดังนั้นจอระดับ 144Hz ที่วางขายกันเต็มไปหมดนี้ก็ช่วยให้การเล่นเกมสนุกขึ้นไปด้วย แต่เราก็เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำให้ภาพลื่นไหลและเรียบเนียนนี้มีความต่างกันอย่างไร G-Sync, Free Sync ทำอะไรได้ วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณ
รู้จักกับ G-Sync และ Free Sync
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า Sync ทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร ทำงานอย่างไร ซึ่งชื่อทั้งสองนั้นคือเทคโนโลยีการลดรอยหยักของภาพบนหน้าจอมอนิเตอร์ มักจะเรียกกันรวม ๆ ว่า Adacptive Sync ซึ่ง G-Sync นั้นพัฒนาโดย NVIDIA ส่วน Free Sync พัฒนาโดย AMD หรือ Radeon โดยเทคโนโลยีทั้งสองแบบนั้นต่างออกแบบมาเพื่อให้การ์ดจอของทั้งสองค่ายเลือกใช้งานได้ แต่การ์ดจอของ NVIDIA เองก็สามารถใช้งานเทคโนโลยี Free Sync ของ AMD ได้แล้วในตอนนี้
ซึ่งเทคโนโลยีทั้งสองตัวนี้เป็นเสมือนภาคต่อของเทคโนโลยี V-Sync หรือ Vertical Sync ที่ช่วยลดรอยฉีกขาดของภาพในระหว่างการเล่นเกม ทำให้ภาพที่รันออกมาดูลื่นไหลไม่มีสะดุด ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้การเล่นเกมไม่สนุกอย่างที่คิด โดยเฉพาะคนที่มีคอมแรงมาก ๆ แล้วเฟรมเรทของเกมไปไวกว่าที่หน้าจอจะรันได้ไหว ทำให้เกิดภาพฉีกขาดขึ้น V-Sync จะมาจัดการกับปัญหาตรงนี้ แต่ก็แลกมาด้วยเฟรมเรทของเกมที่ลดลงไป
และ Adaptive Sync ทั้งสองแบบนี้คือตัวช่วยที่ทำให้การเล่นเกมมีความสุขมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่บน PC แล้ว เพราะเครื่องเกมคอนโซลยุคใหม่เองก็มีการใส่เทคโนโลยีนี้เข้าไปด้วย และ Adaptive Sync จะช่วยลดอาการฉีกขาดของภาพบนหน้าจอเพิ่ม แม้จะไม่ได้เปิดโหมด V-Sync ไว้ก็ตาม รวมไปถึงช่วย Input Lag ของภาพลงไปอีกมันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการความเร็วในการตอบสนองสูงสุดนั่นเอง
แต่ถ้าหากถามว่าทั้งสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร ถ้าในแง่เทคโนโลยีนั้นก็ถือว่าไม่ได้ต่างกันนัก แต่โดยปกตืแล้วจอที่มี Free Sync จะหาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าจอแบบ G Sync พอสมควร แต่เชื่อว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้การ์ดจอจากค่าย NVIDIA เป็นส่วนมากอยู่แล้ว แต่การใช้งานก็ทดแทนกันได้ไม่ต่างกัน แต่ถ้าจะใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพ ก็คือจะมีการ์ดจอที่สนับสนุนการทำงานของเทคโนโลยีที่ติดอยู่ในจอด้วยจะดีที่สุด
ความแตกต่างระหว่าง 60Hz กับ 144Hz นั้นมีมากแค่ไหน?
เรื่องนี้ถ้าหากคุณเป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับหน้าจอแบบ 60Hz มานานก็อาจจะตอบได้ไม่ชัดเจนนัก ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองที่เพิ่มเปลี่ยนมาใช้งานจอ 144Hz หลังจากที่ใช้จอแบบ 75Hz มานาน บอกได้เลยว่าในการเล่นเกมแบบ FPS ที่ต้องการความเร็วในการยิงนั้น "ต่างกันอย่างสิ้นเชิง" จอ 144Hz ให้ประสบการณืที่ดีกว่ามากแบบไม่ต้องสงสัย
ถามว่าทำไม? จริงอยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้นั้นก็เป็นเครื่องเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากจอแบบ 144Hz นั้นคือความลื่นไหลที่รู้สึกได้จริง ๆ ในเพรมเรทที่มากกว่า 60 FPS ขึ้นไป หากดูจากจอ 144Hz จะเห็นได้ว่าลื่นขึ้นกว่าเดิมมากจริง ๆ ไม่มีการ Frame Skip ให้เห็น คนเล่น FPS สามารถกวาดเป้ามองเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการกวาดเมาส์ก็รวดเร็วกว่าเดิม
ซึ่งเรื่องการลากเมาส์นี้ผู้เขียนบอกได้เลยว่า ต่างตั้งแต่ตอนเลื่อนหน้าเว็บไซต์ใน Browser แล้ว คุณจะสัมผัสได้ว่ามันลื่นตากว่าเดิมมาก ๆ ดังนั้นจงอย่าได้แปลกใจเวลาที่มือถือแบรนด์ต่าง ๆ โฆษณาว่า หน้าจอที่มี Hz มากขึ้น จะช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้นด้วย เรียกว่าถ้าชินกับจอ Hz สูงแล้ว จะกลับไปใช้จอแบบเก่าไม่ได้เลย
แล้ว 144Hz จำเป็นแค่ไหน?
สำหรับเกมเมอร์ที่พอมีเงิน มีการ์ดจอที่แรงพอตัว และเป็นผู้เล่นเกมแนว FPS หรือเดินยิงแบบอื่นชนิด "เข้าเส้น" จอแบบ 144Hz ขึ้นไปนั้นคือสิ่งที่คุณควรมีครอบครองอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการที่ได้เห็นภาพมากกว่าและลื่นกว่านั้นได้เปรียบเสมอ อีกทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ค่อนข้างจะสะดวกสบายมากขึ้นด้วย
แต่อย่างไรเสีย ในเวลานี้จอแบบ 144Hz ก็ยังคงมีราคาแพงมากอยู่ดี ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เครื่อง PC เพื่อการทำงานและเล่นเกมแนวอื่นที่ไม่ใช่ FPS หรือเกมต้องตอบสนองไว ๆ ก็อาจจะไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น แต่เชื่อเถอะว่า หากคุณได้สัมผัสกับโลกความเร็ว 144Hz แล้ว จะไม่อยากกลับไปใช้จอแบบเก่าอีกเลย
ดังนั้นถ้ามีเงินพอ และเครื่องแรงพอ จอ 144Hz คือสิ่งที่คุณควรมี แต่ถ้าไม่มีเงินหรือเครื่องไม่แรงพอ ก็อาจจะรอไปก่อน แล้วหาจอที่มีสเปกตรงความต้องการของเรา แล้วค่อยพิจารณา อันนี้ก็แล้วแต่เลยครับ