ในบรรดาเกมแนว FPS ส่วนใหญ่คงจะนึกถึงเกมที่มีเนื้อหาแนวสงครามโลก, สงครามปัจจุบัน หรือแนว Sci-fi ซะส่วนใหญ่ ในขณะที่แนวตะวันตกแดนเถื่อน หรือที่เราเรียกติดปากว่าแนว Cowboy มีอยู่แบบแทบจะนับหัวได้ แถมยังดังติดหูกันอยู่ไม่กี่เกมในยุคนี้ นอกจาก Red Dead Redemption ที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว อีกเกมที่ยังไงก็ควรพูดถึงด้วยก็คงไม่พ้น Call of Juarez อย่างแน่นอน
Call of Juarez เป็นเกมแนว FPS ธีมตะวันตกยุคเก่า ที่บรรดามือปืนในประวัติศาสตร์ยังคงโลดแล่นไปทั่วแดนตะวันตก และตัดสินทุกอย่างด้วยลูกปืน พัฒนาโดย Techland ที่โด่งดังมาจากเกมซอมบี้โลกเปิดอย่าง Dead Island ที่ภาค 2 ไม่ยอมออกมาสักที และ Dying Light ที่เกมภาค 2 กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ สำหรับ Call of Juarez ภาคแรกนั้น วางขายในปี 2006 จัดจำหน่ายโดย Ubisoft ก่อนที่จะปล่อยเกมภาคต่อมาอีก 3 ภาคอย่าง Bound in Blood, The Cartel และ Gunslinger แต่ละภาคนั้นมี Gunplay ที่มันส์สะเด่า พร้อมเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มาพร้อมกับการหักมุมและดราม่าในตัว… แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่ได้มีอยู่ในภาค The Cartel เลย!
Call of Juarez: The Cartel วางขายครั้งแรกในปี 2011 เป็น Call of Juarez ภาคแรก และเป็นเกมแรกของ Techland ที่พัฒนาด้วย Chrome Engine 5 โดยถูก Set ให้เป็นเกมภาคต่อห่าง ๆ ของ Call of Juarez: Bound in Blood ซึ่งมี Benjamin McCall หนึ่งในตัวละครหลัก เป็นทายาทที่สืบเชื้อสายของ Ray McCall จากภาคก่อน ๆ และมีการพูดถึงสมบัติแห่ง Juarez ด้วย...
จริง ๆ แล้วผู้เขียนไม่ได้ซื้อเกมภาคนี้มา แต่ได้มาแบบฟรี ๆ สำหรับคนสั่ง Splinter Cell Blacklist แบบ Pre Order กับร้าน Zest ในสมัยที่เกม PC ยังขายเป็นกล่อง DVD อยู่ แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นโปรโมชั่นของร้าน Zest หรือ New Era ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายเกมของ Ubisoft ในตอนนั้น แต่ด้วยความที่ทักษะด้าน Computer ที่ยังไม่แข็งนักเลยไม่ได้เล่นสักที เพราะติด Bug จุกจิกตอนรันเกมจนรำคาญแล้วหมกแผ่นลงกรุไปเลย มาตอนนี้รู้สึกว่าอยากลองขึ้นมาเลยหาทางแก้ Bug จนในที่สุดก็เล่นสมใจ…!!!
และก่อนหน้านั้นหลายปีมาก แอบไปรู้มาว่า Call of Juarez: The Cartel ถูกรีวิวว่าเป็นเกมที่ห่วยแตก และเกือบทำให้แฟรนไชส์ Call of Juarez ถึงคราวจบเห่ แต่ด้วยความที่เป็นนักเขียนสายเกม เกมจะกากจริงหรือไม่นั้น ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง… จนได้รู้ว่าทำไมเกมมันถึงโดนสับเละขนาดนี้…!?
| STORY
เรื่องราวในภาค The Cartel เริ่มต้นจากการวางระเบิดสำนักงานปราบกรามยาเสพติด หรือ DEA ใน Los Angeles โดยแก๊งค้ายา Mendoza จนทำให้คนใหญ่คนโตในกระทรวงยุติธรรม ก่อตั้งหน่วยเฉพาะกิจผสม ที่ประกอบไปด้วย Benjamin McCall นักสืบสุดห่าม อดีตทหารผ่านศึกเวียดนาม จาก LAPD, Kimberley Evans เจ้าหน้าที่พิเศษอดีตเด็กแก๊งค์ จาก FBI และ Eduardo Valdez y Guerra เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด อดีตนาวิกโยธิน และเป็นผีพนันหนี้ท่วมหัวจาก DEA โดยทั้ง 3 คน ต้องร่วมมือกันลากคอใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดครั้งนี้ ออกมารับโทษให้ได้
เมื่อขึ้นชื่อว่ามีความเป็น Wild West อยู่ในส่วนผสม อย่าได้ถามหาความเป็นพ่อพระ-แม่พระ กับตัวละครทั้ง 3 คนนี้เลย เพราะหน่วยเฉพาะกิจนี้เป็นแหล่งรวมตำรวจมือสกปรกกันแบบยกเซ็ต โดยเฉพาะเวลาออกมาสืบคดีแต่ละทีก็ทำตัวแบบ Cowboy สมธีมเกมมาก ทั้งกราดยิง, ทำร้ายร่างกาย, ข่มขู่ แถมยังมือไวฉกของมีค่าติดมือกลับไปทุกครั้งที่มีโอกาส
ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น พูดได้เลยว่าเหมือนจะทำตามสูตรสำเร็จของ Call of Juarez ในภาคก่อน ๆ ทั้งการเล่าดราม่า, การสูญเสีย, การหักหลัง หรือแม้แต่การหักมุมต่าง ๆ ถึงแม้จะมีหัวใจหลักครบก็จริง ปมขัดแย้งเลือกมาได้ดี แต่การนำเสนอ “โคตรน่าเบื่อ” เล่นไปก็รู้สึกหาวไป เหมือนแค่เอาหนังเรื่อง Bad Boy มายำกับหนัง Cowboy สุ่ม ๆ สักเรื่องที่หาได้ตามกระบะหนังลดราคายังไงยังงั้น
นอกจากนี้ก็เล่นเรื่องที่ตรงเป็นไม้บรรทัด กับทางแยกตอนท้ายเกมแบบติ่ง ๆ ที่มีไว้แค่เลือกฉากจบเท่านั้น แม้ว่าจะทำให้มี 3 ตัวละครให้เลือกเล่น แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างหรือมีความลึกสักเท่าไหร่ ยิ่งกับเนื้อเรื่องที่ไม่มีความน่าติดตามแล้ว ยิ่งทำให้ไม่เหลือคุณค่าในการเล่นซ้ำเลย และจุดเชื่อมโยงในเกมภาคเก่า ๆ อย่างสมบัติแห่ง Juarez ก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรเลย ใส่มาแค่เป็น Easter Egg เท่านั้น
| GAMEPLAY
สำหรับเกมตระกูล Call of Juarez นั้น การสาดกระสุนจนควันโขมงโฉงเฉงเป็นของที่ต้องมีในเกมอย่างแน่นอน ในภาค The Cartel ก็เช่นกัน แต่เปลี่ยนจากควงปืนลูกโม่ Single Action, ลูกซองแฝด กับไรเฟิลคานเหวี่ยง มาเป็นอาวุธสมัยใหม่อย่างปืนพกอัตโนมัติ, ปืนกลมือ, ไรเฟิลจู่โจม แต่ก็ยังมีพวกปืนลูกโม่และลูกซองให้ใช้เหมือนเดิม แต่จะเป็นของยุคสมัยใหม่แทน
ในระบบการต่อสู้ ตัวเกมจะโยนศัตรูที่มาพร้อมอาวุธครบมือใส่ผู้เล่นทีละมาก ๆ เหมือนเอาพวก Gangsta ทั้งย่านมาไว้ในเกม Epeisode เดียว นอกจากนี้ในระหว่างที่เล่น ก็จะมีการสะสมเกจเพื่อใช้เปิดใช้ Concentration Mode เพื่อชะลอเวลาในระยะสั้น ๆ พร้อมผู้เล่นสามารถชักปืนคู่ออกมาสาดกระสุนตามสไตล์ Cowboy ได้เหมือนภาคก่อน ๆ
ถึงจะเอาเสน่ห์ดั้งเดิมอย่างการยิงต่อสู้แบบอุตลุดมาไว้ในเกมภาคนี้ด้วย แต่ Gunplay กลับรู้สึกไม่สนุกเท่าไหร่ ไหนจะการโยนศัตรูทีละมาก ๆ แต่ชั้นเชิงในการส่งออกมาค่อนข้างจืด แต่อย่างน้อยก็ฉลาดพอที่จะวิ่งหาที่กำบังเป็น สิ่งที่น่าคิดก็คือ การที่ปืนลูกโม่ Double Action ในภาค The Cartel ยิงรัวชนิดที่ว่านกสับรัวเป็นนกหัวขวาน ถึงมันดูไม่ Makesense อยู่หน่อย ๆ แต่ทำไมรู้สึกยิงไม่สนุกใจเท่าของภาค Gunslinger ทั้งที่ภาคนี้ที่มีแต่ปืนลูกโม่ Single Action และยิงรัวได้เหมือนกัน
อีกสิ่งที่สามารถเห็นได้ตั้งแต่เริ่มเล่นเกมใหม่ ๆ เลย คือการนำเอาความเป็น RPG ใส่เข้าไป ด้วยการกำหนดความสามารถของตัวละครทั้ง 3 คน ให้มี Skill เสริมในตัวและอาวุธที่ถนัดแตกต่างกันไป อย่าง Benjamin ที่ถนัดการใช้ลูกโม่, Kimberley ที่ถนัดปืนไรเฟิลซุ่มยิง และ Eduardo ที่ถนัดปืนกลมือ แต่เชื่อเถอะ…. ไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่างกันเท่าไหร่เลย…!!! ความเป็น RPG ที่ใส่เข้ามา มีผล Gameplay น้อยถึงน้อยที่สุด ชนิดที่ว่าไม่มียังจะดีซะกว่า
นอกจากนี้ยังมีระบบการปลดล็อคอาวุธตาม Level หรือ Episode ที่รู้สึกว่าน่ารำคาญกับการเลือกอาวุธตอนต้น Episode แทนที่จะต้องมาปลดล็อคอาวุธ สู้ให้ตามเก็บหรือเปลี่ยนอาวุธตามฉากยังดูง่ายซะกว่า
| GRAPHIC & PERFORMANCE
ในส่วนนี้อาจจะพูดไม่มากนัก เพราะเกมนี้เป็นผลงานแรกที่ใช้ Chrome Engine 5 ซึ่งเป็นเอนจิ้นตัวใหม่ล่าสุดในขณะนั้น คุณภาพกราฟิกก็จะอยู่ในมาตรฐานของเมื่อ 10 กว่าปีก่อน แต่จากตัว Model ของตัวละครและสิ่งต่าง ๆ ในเกมก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างจาก Chrome Engine 4 เท่าไหร่นัก ต่างจากผลงานที่ออกมาในภาค Gunslinger ที่ดึงศักยภาพของ Chrome Engine 5 ได้แทบทุกหยดเลยทีเดียว
| CONCLUSION
Call of Juarez: The Cartel เป็นเกมพยายามแหวกแนวทางเดิมของภาคก่อน ๆ แม้จะอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่ก็ยังเป็นเกมที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ แถมแฟน ๆ ของ IP นี้บางทีก็ไม่อยากนับว่าเป็น Call of Juarez ด้วยซ้ำ ถึงจะมีปมเรื่องราวน่าสนใจ แต่เส้นเรื่องก็โคตรจะน่าเบื่อ เล่าออกมาได้ไม่สนุกเลย ทำให้เป็นเกมที่ไม่อยากกลับมาเล่นซ้ำ แม้จะมีตัวละครและเรื่องราวให้เลือกถึง 3 แบบ เว้นแต่อยากจะรู้ว่าเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละคนจริง ๆ
Gameplay มีดีแค่โยนศัตรูมาแบบทีละมาก ๆ ให้ยิง แต่ไม่ค่อยมีชั้นเชิง แต่ดีที่ยังฉลาดพอหลบเข้ากำบังได้ ส่วน AI ลูกทีมที่เข้ามาควบคุมตัวละครอีก 2 คนเองก็จัดว่าฉลาดอยู่ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่คือยิงเองหมด ปืนมีเยอะ แต่ประสบการณ์การยิงก็ไม่รู้สึกว่าจะต่างกันสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับปืนในกลุ่มเดียวกัน
ถึงจะเป็นเกมที่ได้มาฟรีเพราะแถมเป็นโปรโมชั่น แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายพื้นที่บน SSD และเวลาที่ทนนั่งเล่นจนจบเกมเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นยังไง ถ้าใครอยากจะเล่นเกมซีรีส์ Call of Juarez ขอแนะนำให้เล่นภาคไหนก็ได้ แต่ข้าม The Cartel ไป Gunslinger เลยดีกว่า เพราะถึงไม่มีเนื้อเรื่องเชื่อมกับเรื่องราวของ 2 ภาคแรก แต่ Gameplay, Gunplay และการเล่าเรื่องถึงพริกถึงขิงกว่าเยอะ ถึงจะสั้นไปหน่อยก็ตาม
Ubisoft (หรืออาจจะเป็น Techland เอง) นับว่าคิดถูกที่ถอดเกม The Cartel ออกไปจาก Steam แทนที่จะเอามาโชว์หราให้เจ็บกระดองใจเล่น หรือถ้าจะให้เรียกง่าย ๆ คือ ทำเหมือนว่าไม่เคยมีเกมนี้มาก่อนดีกว่า… แต่ก็น่าเสียดายเหมือนกัน ที่การมาของ Gunslinger ไม่ได้ช่วยต่ออายุของซีรีส์ Call of Juarez ให้ยืนยาวไปมากกว่านี้ อีกทั้งถูกแทนที่ด้วย Dying Light ที่มีความน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ แถมยังได้กระแสตอบรับดีกว่า จนทำให้ Call of Juarez กลายเป็นแฟรนไชส์ที่โดนลืมไปเป็นที่เรียบร้อย